สาระน่ารู้
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี นัดพิเศษ 24 กันยายน 2568
วันนี้ 24 กันยายน 2568 เวลา 19.15 น. นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญ ดังนี้
|
สังคม |
1. เรื่อง การจัดทำคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
2. เรื่อง การกำหนดวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี
3. เรื่อง แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
4. เรื่อง แนวทางการจัดวาระเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
|
แต่งตั้ง |
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
6. เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
7. เรื่อง การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี
8. เรื่อง การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
9. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
10. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 301/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
11. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 302 /2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
12. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 303/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
|
สังคม |
1. เรื่อง การจัดทำคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาและมอบหมายให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีรับไปประสานรวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดพิมพ์และแจกจ่ายเอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาต่อไป
2. กำหนดวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
3. มอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศแปลคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีเป็นภาษาอังกฤษ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. หลักการการจัดทำคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 162 บัญญัติให้ “คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาซึ่งต้องสอดคล้องกับหน้าที่ของรัฐ แนวนโยบายแห่งรัฐ และยุทธศาสตร์ชาติ และต้องชี้แจงแหล่งที่มาของรายได้ที่จะนำมาใช้จ่ายในการดำเนินนโยบาย โดยไม่มีการลงมติความไว้วางใจ ทั้งนี้ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่” ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจะกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฯ หมวด 5 หน้าที่ของรัฐ ประกอบด้วย มาตรา 51 – 63 หมวด 6 แนวนโยบายแห่งรัฐ ประกอบด้วย มาตรา 64 - 78 รวมทั้งยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561-2580)
2. ร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
คณะทำงานยกร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาได้ยกร่างคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาแล้ว ซึ่งเห็นควรมอบหมายให้ สลค. รับไปประสานรวมทั้งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น การจัดพิมพ์และแจกจ่ายเอกสารคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาต่อไป
3. การกำหนดวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา
เพื่อให้การแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภาเป็นไปตามกรอบระยะเวลาที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 162 กำหนด (ภายใน 15 วัน นับแต่วันเข้ารับหน้าที่) จึงสมควรพิจารณากำหนดวันแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา เพื่อ สลค. จะได้แจ้งกำหนดวันแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและประสานการจัดทำคำแถลงนโยบายฯ ต่อไป
ทั้งนี้ การแจ้งกำหนดวันที่คณะรัฐมนตรีจะแถลงนโยบายฯ จะต้องเป็นไปตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 12 ซึ่งกำหนดว่า “การนัดประชุมรัฐสภา ต้องทำเป็นหนังสือ... การนัดประชุมให้นัดล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามวัน โดยไม่นับรวมวันส่งหนังสือและวันประชุม แต่ถ้าประธานรัฐสภาเห็นสมควรจะนัดเร็วกว่านั้นก็ได้ ในกรณีเร่งด่วนแต่ทั้งนี้ไม่น้อยกว่าหนึ่งวัน”
อนึ่ง ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา สลค. จะร่วมกับ สศช. และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรสนับสนุนข้อมูลแก่คณะรัฐมนตรี รวมทั้งจะได้ประสานส่วนราชการในการสนับสนุนข้อมูลให้แก่รัฐมนตรีต่อไปด้วย
2. เรื่อง การกำหนดวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี ทั้งนี้ ตามนัยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 8 วรรคสามตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. การประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นเครื่องมือหลักในการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลซึ่งตามนัยพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 มาตรา 8 วรรคสาม บัญญัติให้วิธีการประชุมคณะรัฐมนตรีจะดำเนินการโดยเชิญรัฐมนตรีมาร่วมประชุม ณ สถานที่ที่กำหนดหรือโดยวิธีอื่นใดซึ่งผู้ร่วมประชุมสามารถปรึกษาหารือกันได้ แม้จะมิได้อยู่ในสถานที่เดียวกันก็ได้ทั้งนี้ ตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด ดังนั้น สลค. จึงขอเสนอวิธีการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยยึดหลักความสอดคล้องกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ดังนี้
1.1 วัน เวลา และสถานที่ประชุมคณะรัฐมนตรี
1.1.1 จัดการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการกรณีปกติ ในทุกวันอังคาร ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องประชุม 501 ชั้น 5 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล
1.1.2 การประชุมคณะรัฐมนตรีกรณีปกติอาจเปลี่ยนแปลงวัน เวลาและสถานที่ได้ตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด
1.2 องค์ประกอบของการประชุมคณะรัฐมนตรี
1.2.1 องค์ประชุมคณะรัฐมนตรี
(1) การประชุมคณะรัฐมนตรีในกรณีปกติให้ดำเนินการได้ เมื่อมีรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามของจำนวนคณะรัฐมนตรีทั้งหมดที่มีอยู่ โดยจำนวนผู้เข้าร่วมประชุมให้รวมถึงผู้เข้าร่วมประชุมโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศซึ่งสามารถปรึกษาหารือกันได้แม้จะมิได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน
(2) ในกรณีจำเป็นเพื่อเป็นการรักษาประโยชน์สำคัญของประเทศหรือมีกรณีฉุกเฉินหรือเพื่อประโยชน์ในการรักษาความลับ นายกรัฐมนตรีอาจพิจารณาเรื่องใดกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องตามที่นายกรัฐมนตรีเห็นสมควรเพื่อมีมติของคณะรัฐมนตรีในเรื่องนั้นได้ และเมื่อมีการประชุมเป็นกรณีปกติ ให้นายกรัฐมนตรีแจ้งให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบมติของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวด้วย
1.2.2 ผู้เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย ข้าราชการการเมือง และข้าราชการประจำระดับสูง ดังนี้
(1) ข้าราชการการเมือง ได้แก่
(1.1) เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
(1.2) รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (ตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย)
(1.3) โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(1.4) รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(2) ข้าราชการประจำระดับสูง ได้แก่
(2.1) ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ
(2.2) เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(2.3) เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา
(2.4) ตำแหน่งอื่น ๆ ตามที่นายกรัฐมนตรีกำหนด
1.2.3 ฝ่ายเลขานุการ ประกอบด้วย
(1) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(2) รองเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมอบหมาย) ปฏิบัติหน้าที่ในการนำเสนอระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมกับเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
(3) เจ้าหน้าที่ของ สลค. (ตามที่เลขาธิการคณะรัฐมนตรีมอบหมาย) ปฏิบัติหน้าที่ในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี เช่น ผู้อำนวยการกองที่เกี่ยวข้อง เจ้าหน้าที่จดบันทึกการประชุมคณะรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ประสานงานและรับส่งเอกสารในห้องประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นต้น
1.3 ระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย
1.3.1 เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุม
1.3.2 เรื่องวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา (ถ้ามี)
1.3.3 เรื่องเพื่อพิจารณา
1.3.4 เรื่องเพื่อทราบ (หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นเรื่องที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ/อนุมัติ)
1.3.5 เรื่องเพื่อทราบ
1.3.6 เรื่องอื่น ๆ
1.4 ประเภทแฟ้มระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ประกอบด้วย
1.4.1 เรื่องเพื่อพิจารณา แฟ้มสีชมพู
1.4.2 เรื่องเพื่อทราบ (หากไม่มีข้อทักท้วงฯ) แฟ้มสีส้ม
1.4.3 เรื่องเพื่อทราบ แฟ้มสีฟ้า
1.5 การส่งระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี สลค. จะจัดส่งระเบียบวาระการประชุมฯ พร้อมด้วยเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเผยแพร่เอกสารการประชุมผ่านระบบเรียกดูระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรีด้วยเครื่องแท็บเล็ต (ระบบ M-VARA) หรืออาจจัดส่งเอกสารการประชุมผ่านระบบ M-VARA ช่องทางเดียว โดยจะส่งให้ให้คณะรัฐมนตรีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าหนึ่งวันก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งมีแนวทางการจัดส่งวาระการประชุมฯ ดังนี้
1.5.1 การประชุมคณะรัฐมนตรีในกรณีปกติทุกวันอังคาร จะส่งระเบียบวาระการประชุมฯ (ปกติ) ให้คณะรัฐมนตรีในวันศุกร์ และส่งระเบียบวาระการประชุมฯ (เพิ่มเติม) ในวันจันทร์
1.5.2 กรณีที่มีการเลื่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี จะส่งระเบียบวาระการประชุมฯ ให้คณะรัฐมนตรีล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 วันก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ระเบียบวาระการประชุมฯ (วาระจร) หรือเรื่องที่มีความอ่อนไหวและมีผลกระทบสูงเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ ความมั่นคง ประโยชน์สาธารณะ หรือประโยชน์ของประเทศชาติ และเข้าข่ายเป็นข้อมูลข่าวสารที่ไม่ต้องเปิดเผยตามมาตรา 14 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของทางราชการ พ.ศ. 2540 ซึ่งหากถูกนำไปเปิดเผยต่อสาธารณชนแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประโยชน์แห่งรัฐอย่างร้ายแรง สลค. จะเผยแพร่ผ่านระบบ M-VARAในวันประชุมคณะรัฐมนตรีเท่านั้น
1.6 คณะกรรมการรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรีจะแต่งตั้งคณะบุคคล ประกอบด้วยรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและบุคคลอื่นที่มีความรู้ความชำนาญในเรื่องที่จะพิจารณา เพื่อพิจารณากลั่นกรองเรื่องใดก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีก็ได้ เพื่อให้เรื่องที่จะนำเสนอคณะรัฐมนตรีได้มีการพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ และประหยัดเวลาการประชุมคณะรัฐมนตรี
1.7 การลาประชุมคณะรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรีแจ้ง สลค. เป็นหนังสือเพื่อแจ้งให้นายกรัฐมนตรีและที่ประชุมคณะรัฐมนตรีทราบ ซึ่งรวมถึงกรณีการลาประชุม เป็นช่วงเวลาหรือกรณีไม่สามารถเข้าร่วมจนสิ้นสุดการประชุมได้
1.8 สรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ในการประชุมคณะรัฐมนตรีโดยเปิดเผย สลค.จะจัดทำสรุปผลการประชุมคณะรัฐมนตรีทุกครั้งที่มีการประชุม โดยจะจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ และถ่ายโอนข้อมูลไปยังระบบ M-VARA แล้วแจ้งให้รัฐมนตรีทราบ กรณีมีข้อทักท้วงหรือแก้ไขประการใด สลค. จะดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้องโดยเร็ว
3. เรื่อง แนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติให้ความเห็นชอบแนวทางของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถือปฏิบัติต่อไป
สาระสำคัญของเรื่อง
สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) ขอเรียนว่าแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานของรัฐในการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีในกรณีปกติ มีสาระสำคัญสรุปได้ ดังนี้
1. ประเภทเรื่องให้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้เป็นไปตามมาตรา 4 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ซึ่งประกอบด้วย 13 ประเภทเรื่องเท่านั้น ดังนี้
|
ลำดับ |
ประเภทเรื่องที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีได้ |
|
1 |
เรื่องที่กฎหมายกำหนดให้เสนอคณะรัฐมนตรี |
|
2 |
ร่างพระราชบัญญัติ ร่างพระราชกำหนด |
|
3 |
เรื่องที่ต้องเสนอให้สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา หรือรัฐสภาอนุมัติ/เห็นชอบ |
|
4 |
ร่างพระราชกฤษฎีกา |
|
5 |
ร่างกฎกระทรวงเกี่ยวกับนโยบายสำคัญที่คณะรัฐมนตรีกำหนด |
|
6 |
ร่างระเบียบ ร่างข้อบังคับ หรือร่างประกาศที่มีผลบังคับแก่ส่วนราชการโดยทั่วไป |
|
7 |
เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับองค์การระหว่างประเทศที่มีผลผูกพันรัฐบาลไทย |
|
8 |
การริเริ่มโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของหน่วยงานของรัฐที่มีวงเงินลงทุนตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป เว้นแต่โครงการลงทุนที่กำหนดให้แผนงานที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบแผนงานนั้นแล้ว |
|
9 |
เรื่องที่ขอทบทวนหรือยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี |
|
10 |
ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีลักษณะเป็นระเบียบปฏิบัติราชการทั่วไป หรือจะมีผลเป็นแนวบรรทัดฐานในการปฏิบัติราชการ |
|
11 |
เรื่องที่ต้องใช้งบประมาณแผ่นดินนอกเหนือจากที่ได้รับอนุมัติไว้แล้วตามกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายประจำปีหรืองบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม |
|
12 |
เรื่องที่นายกรัฐมนตรีในฐานะหัวหน้ารัฐบาลมีคำสั่งให้เสนอคณะรัฐมนตรี |
|
13 |
เรื่องที่คณะรัฐมนตรีให้เสนอคณะรัฐมนตรี |
2. ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องนำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อน และเมื่อได้รับการอนุมัติ/เห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้วให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเรื่องไปยัง สลค. โดยมีรายละเอียด ดังนี้
2.1 ในหนังสือนำส่งเรื่องดังกล่าวให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องดำเนินการให้เป็นไปตามนัยมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ที่บัญญัติเกี่ยวกับผู้มีอำนาจลงนามเสนอเรื่อง เช่น
|
หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่อง |
ผู้ลงนาม |
|
กระทรวง รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน |
รัฐมนตรีเจ้าสังกัด |
|
คณะกรรมการที่มีนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรัฐมนตรีว่าการกระทรวง เป็นประธานกรรมการ |
นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแล้วแต่กรณี ในฐานะประธานกรรมการ |
|
หน่วยงานของรัฐที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี เช่น |
หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ เช่น |
โดยให้ระบุหนังสือนำส่งเรื่องด้วยว่าได้รับการอนุมัติ/เห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีแล้ว
ในกรณีเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นเรื่องที่จะต้องได้รับความเห็นชอบหรืออนุมัติจากหน่วยงานของรัฐแห่งอื่นก่อน (ตามระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ข้อ 9) ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องขอความเห็นชอบหรือขออนุมัติจากหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องให้เสร็จสิ้น แล้วจึงส่งเรื่องไปยัง สลค. พร้อมกับความเห็นชอบหรือคำอนุมัตินั้น เช่น
|
กรณีตัวอย่างเรื่อง |
ความเห็นชอบหรืออนุมัติของหน่วยงานที่จะต้องส่งไปพร้อมกับเรื่องที่เสนอคณะรัฐมนตรี |
|
1) เรื่องการเสนอขอใช้งบประมาณรายจ่าย งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น พ.ศ. 2562 กรณีวงเงินเกินกว่า 100 ล้านบาท |
หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องต้องส่งเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีไปยัง สลค. พร้อมกัน กับความเห็นของสำนักงบประมาณ (สงป.) ที่ระบุว่านายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว |
|
2) เรื่องการเสนอขอใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเพื่อการแก้ไขหรือเยียวยา ตามหลักมนุษยธรรมในความเดือดร้อนเสียหายทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประชาชนหรือของผู้ประสบภัย ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการขอใช้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อแก้ไขหรือเยียวยาความเดือดร้อนเสียหายในบางกรณี พ.ศ. 2559 |
หน่วยงานของรัฐของเรื่องต้องส่งเรื่องที่จะเสนอคณะรัฐมนตรีไปยัง สลค. พร้อมกันกับความเห็นชอบของกระทรวงการคลัง (กค.) สงป. และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รวมทั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจในกรณีที่มีการเบิกจ่ายผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจ |
2.2 ในการส่งเรื่องไปยัง สลค. กรณีเป็นเรื่องที่มีกรอบระยะเวลาในการดำเนินการอย่างชัดเจน ซึ่งหน่วยงานเจ้าของเรื่องทราบล่วงหน้าอยู่แล้ว เช่น การจัดทำหนังสือสัญญาระหว่างประเทศตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่ทราบกำหนดเวลาการประชุม/รับรอง/ลงนาม ที่ชัดเจนล่วงหน้าอยู่แล้ว เป็นต้น ให้เสนอเรื่องไปยัง สลค. ก่อนถึงระยะเวลาที่กำหนดของเรื่องนั้น ๆ อย่างน้อย 15 วัน สำหรับกรณีที่เป็นเรื่องเร่งด่วน ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเรื่องให้ สลค. อย่างน้อย 7 วัน ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี
3. เมื่อได้รับเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีที่ดำเนินการถูกต้องตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการเสนอเรื่องและการประชุมคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 ระเบียบว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรี พ.ศ. 2548 และขั้นตอนตามข้อ 2 แล้ว สลค. จะดำเนินการถามความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น
|
กรณีเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี |
ตัวอย่างหน่วยงานที่ สลค. จะต้องถามความเห็น |
|
เรื่องงบประมาณ |
กค. สงป. |
|
เรื่องเงินกู้ของรัฐวิสาหกิจ |
กค. สงป. สศช. |
|
เรื่องแผนงาน/โครงการลงทุน |
|
|
เรื่องที่มีประเด็นทางกฎหมาย |
สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) |
|
เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ |
กระทรวงการต่างประเทศ สคก. |
4. เมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแจ้งความเห็นไปยัง สลค. แล้ว สลค. จะดำเนินการเพื่อบรรจุระเบียบวาระการประชุมคณะรัฐมนตรี ดังนี้
|
ประเภทเรื่อง |
หมายเหตุ |
|
(1) เรื่องเพื่อพิจารณา |
สลค. จะจัดทำบันทึกเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (บรรจุระเบียบวาระการประชุม) |
|
(2) เรื่องเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ |
สลค. จะจัดทำบันทึกเสนอนายกรัฐมนตรี/รองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการเพื่อพิจารณาอนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี (บรรจุระเบียบวาระการประชุม) |
|
(3) เรื่องเพื่อทราบ |
|
|
(4) เรื่องเพื่อทราบเป็นข้อมูล |
เป็นเรื่องรายงานหรือข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดยไม่ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี |
4. เรื่อง แนวทางการจัดวาระเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบแนวทางการจัดวาระเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เพื่อเป็นการลดระยะเวลาในการพิจารณาเรื่องต่าง ๆ ของคณะรัฐมนตรีและทำให้การประชุมคณะรัฐมนตรีเกิดประสิทธิภาพสูงสุด สลค. จึงเห็นควรเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณากำหนดแนวทางการจัดวาระเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี ตามที่เสนอ โดยแบ่งเป็น 2 ประเภทดังนี้
1.1 เรื่องที่กฎหมายกำหนดให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบ (ได้แก่ การดำเนินการของคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกตามนัยมาตรา 11 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ที่บัญญัติให้เมื่อคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกได้มีมติอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบเรื่องใดแล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่น ให้ถือว่าคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหรือเห็นชอบ ตามมติคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก)
1.2 เรื่องที่ไม่ใช่นโยบายหรือไม่ใช่เรื่องสำคัญและมีระเบียบปฏิบัติปกติอยู่แล้ว เช่น เรื่องที่เป็นกฎหมายลำดับรองที่ไม่ใช่เรื่องนโยบายสำคัญ เรื่องการมอบหมายหรือแต่งตั้งที่ผ่านการพิจารณาตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เป็นภารกิจปกติ เรื่องข้อเสนอแนะหรือรายงานผลของหน่วยงานต่าง ๆ ที่มอบหมายหน่วยงานไปดำเนินการ เรื่องที่คณะรัฐมนตรีมอบหมายหลักการให้จัดวาระเพื่อเสนอเรื่องต่อคณะรัฐมนตรีเป็นวาระเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ทั้งนี้มอบหมายให้ สลค. เป็นผู้พิจารณากลั่นกรองว่าเรื่องที่หน่วยงานของรัฐเสนอเรื่องใดเข้าข่ายเป็นประเภทเรื่องตามกรณีนี้เพื่อดำเนินการต่อไป
2. กรณีการเสนอเรื่องเพื่อทราบ หากไม่มีข้อทักท้วงให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่เสนอ ให้ สลค. เสนอรองนายกรัฐมนตรีซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวก่อนอนุมัติให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ หากคณะรัฐมนตรีไม่มีข้อทักท้วงหรือไม่มีความเห็นเป็นอย่างอื่นให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีตามที่มีคำสั่ง ตั้งแต่วันที่คณะรับทราบ ยกเว้นเรื่องที่กำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณาและมีคำสั่ง ในเรื่องดังต่อไปนี้
2.1 เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง และประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ
2.2 เรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
2.3 เรื่องการแต่งตั้งผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ
2.4 เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการตามกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรี
2.5 เรื่องการมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งเป็นผู้รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงตามมาตรา 41 และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534
2.6 เรื่องอื่น ๆ ที่ สลค. เห็นสมควรนำเสนอนายกรัฐมนตรี
|
แต่งตั้ง |
5. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี)
คณะรัฐมนตรีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอแต่งตั้ง นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ในตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2568 เป็นต้นไป
6. เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 3 มติ ได้แก่
1.1 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 (เรื่อง การเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง)
1.2 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2554 [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป]
1.3 มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2562 [เรื่อง ขอความเห็นชอบให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2551 (เรื่อง แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง) ต่อไป]
2. เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) ซึ่งเป็นตำแหน่งข้าราชการการเมือง ดังนี้
2.1 ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี
2.2 ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี
2.3 ที่ปรึกษารัฐมนตรี และที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
2.4 เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
2.5 รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง
2.6 โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
2.7 รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
2.8 เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
2.9 ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
2.10 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
2.11 ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
2.12 เลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวง
2.13 ผู้ช่วยเลขานุการรัฐมนตรีว่าการทบวง
โดยมีรายละเอียดแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (ตามข้อ (1))
3. เห็นชอบแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีรายละเอียดแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี (ตามข้อ (2))
4. รับทราบความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ 1 และคณะที่ 2) เรื่องเสร็จที่ 882/2562 เรื่อง การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองซึ่งมิใช่รัฐมนตรีในขณะเดียวกัน (ตามข้อ (3))
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. พิจารณาเห็นว่า เพื่อให้แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมาย ระเบียบ และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นควรยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 3 มติ (มติคณะรัฐมนตรี 8 กุมภาพันธ์ 2551, 11 สิงหาคม 2554 และ 30 กรกฎาคม 2562) และเห็นควรกำหนดแนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ขึ้นใหม่ ดังนี้
(1) แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) ให้ดำเนินการ ดังนี้
1.1 ให้ทุกส่วนราชการที่จะเสนอแต่งตั้งข้าราชการการเมืองตรวจสอบประวัติและรับรองประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง โดยให้ถือปฏิบัติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567 อย่างเคร่งครัด
1.2 ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนำเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรีพิจารณาก่อนและเมื่อได้รับความเห็นชอบให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้ส่งเรื่องไปยัง สลค. โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่า นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว และส่งเรื่องไปยัง สลค. ล่วงหน้า ก่อนวันประชุมคณะรัฐมนตรี ส่วนกรณีการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองในสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อนายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบให้เสนอเรื่องแล้ว ให้เลขาธิการนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนาม โดยให้ระบุในหนังสือเสนอเรื่องด้วยว่านายกรัฐมนตรีได้เห็นชอบแล้ว ทั้งนี้ ในการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมืองให้ระบุชื่อบุคคลและตำแหน่งที่จะเสนอแต่งตั้งให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้กำหนดวันเริ่มต้นการดำรงตำแหน่ง เช่น ให้มีผลตั้งแต่วันที่ ... เป็นต้นไป หรือให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป โดยยังไม่ต้องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้งจนกว่าคณะรัฐมนตรีจะมีมติให้ความเห็นชอบการแต่งตั้งแล้ว
1.3 การเสนอเรื่องตามข้อ 1.2 ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องส่งเอกสารไปยัง สลค. ประกอบด้วย
1) หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง
2) แบบสรุปประวัติผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นข้าราชการการเมือง
3) แบบข้อมูลประกอบการเสนอเรื่องการแต่งตั้งข้าราชการการเมือง โดยกรอกข้อมูลและรับรองข้อมูลให้ครบถ้วน
4) เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคลจาก 7 หน่วยงาน (ตามข้อ 1.1) ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นการข้าราชการเมือง
5) แบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการการเมือง พ.ศ. 2535 มาตรา 4 (8) - (20) จำนวน 14 ข้อ
6) เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารรับรองการเปลี่ยนชื่อ และ/หรือชื่อสกุล
1.4 เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งข้าราชการการเมือง ตามข้อ 1.2 แล้ว ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งแต่งตั้ง และส่งสำเนาคำสั่งแต่งตั้งดังกล่าวให้ สลค. เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
1.5 ในกรณีที่ข้าราชการการเมืองซึ่งได้รับแต่งตั้งตามข้อ 1.2 ลาออกหรือมีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่ง ให้หน่วยงานของรัฐเจ้าของเรื่องดำเนินการออกคำสั่งให้ข้าราชการการเมืองนั้นพ้นจากตำแหน่ง และส่งสำเนาคำสั่ง ดังกล่าวให้ สลค. เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
(2) แนวทางการเสนอเรื่องการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ให้ดำเนินการ ดังนี้
2.1 เมื่อนายกรัฐมนตรีเห็นสมควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิใดเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว ให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) จัดทำรายชื่อพร้อมด้วยประวัติของผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีเสนอไปยัง สลค. เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบต่อไป ทั้งนี้ ให้ตรวจสอบประวัติของผู้ที่จะเสนอแต่งตั้งจากหน่วยงาน 7 หน่วยงานและบริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด และรับรองประวัติของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี โดยให้ถือปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2567
2.2 การเสนอเรื่องตามข้อ 2.1 ให้ สลน. ส่งเอกสารไปยัง สลค.ประกอบด้วย
1) หนังสือเสนอเรื่องการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
2) แบบสรุปประวัติผู้ได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
3) เอกสารแสดงผลการตรวจสอบประวัติบุคคล (ตามข้อ 2.1) ของบุคคลที่จะเสนอแต่งตั้งเป็นกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี
4) แบบรับรองประวัติบุคคลประกอบการพิจารณาแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองกรณีกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี จำนวน 14 ข้อ
5) เอกสารเกี่ยวกับคุณสมบัติ ตามข้อ 4 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยคณะกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เช่น เอกสารแสดงคุณวุฒิการศึกษา หนังสือรับรองประสบการณ์การทำงานที่ระเบียบดังกล่าวกำหนดไว้
2.3 เมื่อคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบการแต่งตั้งกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีแล้ว ให้ สลน. ดำเนินการออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีแต่งตั้ง แล้วจัดส่งประกาศดังกล่าวให้ สลค. เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
2.4 ในกรณีที่กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีซึ่งได้รับแต่งตั้งตามข้อ 2.3 ลาออกหรือมีเหตุต้องพ้นจากตำแหน่งก่อนครบวาระ ให้ สลน. ดำเนินการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีให้กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรีนั้นพ้นจากตำแหน่ง และส่งสำเนาคำสั่งดังกล่าวให้ สลค. เพื่อนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาต่อไป
(3) คณะกรรมการกฤษฎีกา (ที่ประชุมร่วมคณะที่ 1 และคณะที่ 2) เรื่องเสร็จที่ 882/2562เรื่อง การแต่งตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองซึ่งมิใช่รัฐมนตรีในขณะเดียวกัน เห็นว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ใดได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองอื่นซึ่งมิใช่รัฐมนตรี ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำอันต้องห้ามตามมาตรา 184 (1) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อันเป็นผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (7) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวทางที่คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะที่ 1) ได้เคยให้ความเห็นไว้ในเรื่องเสร็จที่ 123/2551 เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมืองจากผู้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
7. เรื่อง การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรีและกลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบมอบหมายรองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ ดังนี้
1. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาร่างมติคณะรัฐมนตรี
2. มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้พิจารณากลั่นกรองเรื่องคดีและเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายก่อนเสนอนายกรัฐนตรีในเรื่องต่อไปนี้
2.1 เรื่อง การดำเนินคดีในศาลปกครองในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี
2.2 เรื่อง การดำเนินคดีในศาลรัฐธรรมนูญในกรณีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ถูกร้องต่อ ศาลรัฐธรรมนูญ
2.3 เรื่องเกี่ยวกับกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติและพระราชกำหนด
สาระสำคัญของเรื่อง
สลค. ขอเรียนว่า
-
ในการประชุมคณะรัฐมนตรีแต่ละครั้งเมื่อคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาและมีมติอนุมัติ ให้ความ เห็นชอบ หรือมีคำสั่งใด ๆ ในเรื่องต่าง ๆ ที่เสนอต่อคณะรัฐมนตรีแล้ว สลค. จะจัดทำร่างมติคณะรัฐมนตรีในเรื่อง นั้น ๆ แล้วเสนอให้รัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายจากคณะรัฐมนตรีเป็นผู้ตรวจพิจารณาและลงนามรับรองความถูกต้องก่อน จึงจะถือเป็นมติคณะรัฐมนตรีที่จะแจ้งให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องและหน่วยงาน/บุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อทราบ ถือปฏิบัติ หรือดำเนินการต่อไป
-
การพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายโดยเฉพาะในระดับพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด หรือการดำเนินคดีความต่าง ๆ ในกรณีที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีถูกฟ้องในคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับมติคณะรัฐมนตรี จะต้องมีการตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและข้อกฎหมายอย่างรอบด้านและเพื่อให้การพิจารณาของนายกรัฐมนตรีเป็นไปด้วยความรอบคอบ
8. เรื่อง การมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) เสนอ มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้
1. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามลำดับ ดังนี้
(1) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
(2) นายโสภณ ซารัมย์
(3) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
(4) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(5) ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
(6) นายสุชาติ ชมกลิ่น
2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใด
เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
9. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 300/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2568 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศ ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2568 นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 11 มาตรา 12 มาตรา 41 มาตรา 42 มาตรา 48 และมาตรา 49 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบกับมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2568 นายกรัฐมนตรี โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรีและมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้หรือไม่มีผู้ดำรงตำแหน่ง ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี
1. ในกรณีที่นายกรัฐมนตรีไม่อาจปฏิบัติราชการได้ คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รักษาราชการแทน ตามลำดับ ดังนี้
(1) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ
(2) นายโสภณ ซารัมย์
(3) นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ
(4) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
(5) ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า
(6) นายสุชาติ ชมกลิ่น
2. ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรี ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน
ส่วนที่ 2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้ให้รองนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้
|
ลำดับที่ |
รองนายกรัฐมนตรี |
รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนกันตามลำดับ |
|
1 |
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ |
1. นายโสภณ ซารัมย์ |
|
2. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ |
||
|
2 |
นายโสภณ ซารัมย์ |
1. นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ |
|
2. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ |
||
|
3 |
นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ |
1. นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ |
|
2. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า |
||
|
4 |
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ |
1. ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า |
|
2. นายสุชาติ ชมกลิ่น |
||
|
5 |
ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า |
1. นายสุชาติ ชมกลิ่น |
|
2. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ |
||
|
6 |
นายสุชาติ ชมกลิ่น |
1. นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ |
|
2. นายโสภณ ซารัมย์ |
ส่วนที่ 3 การมอบหมายและมอบอำนาจให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ในกรณีที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งไม่อยู่หรือไม่อาจปฏิบัติราชการได้
ให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ตามลำดับ ดังนี้
|
ลำดับที่ |
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี |
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี |
|---|---|---|
|
1 |
นายภราดร ปริศนานันทกุล |
1. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี |
|
2. นายนภินทร ศรีสรรพางค์ |
||
|
2 |
นางสาวศุภมาส อิศรภักดี |
1. นายนภินทร ศรีสรรพางค์ |
|
2. นายสันติ ปิยะทัต |
||
|
3 |
นายนภินทร ศรีสรรพางค์ |
1. นายสันติ ปิยะทัต |
|
2. นายภราดร ปริศนานันทกุล |
||
|
4 |
นายสันติ ปิยะทัต |
1. นายภราดร ปริศนานันทกุล |
|
2. นางสาวศุภมาส อิศรภักดี |
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
10. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 301/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 301/2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2568 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศ ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2568
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 (2) และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 มาตรา 90 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจ พ.ศ. 2550 จึงมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีกำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี และให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี และกำกับดูแลแทนนายกรัฐมนตรี สำหรับส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน และหน่วยงานของรัฐ ตามลำดับ ดังต่อไปนี้
ส่วนที่ 1 นิยาม
ในคำสั่งนี้
“กำกับการบริหารราชการ” หมายความว่า กำกับโดยทั่วไปซึ่งการบริหารราชการแผ่นดินของส่วนราชการเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายของคณะรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรี มีอำนาจสั่งให้ส่วนราชการชี้แจงแสดงความคิดเห็นหรือรายงานเกี่ยวกับการปฏิบัติราชการหรือการปฏิบัติงาน สั่งสอบสวนข้อเท็จจริง ตลอดจนอนุมัติให้นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี และอนุมัติตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 24 กันยายน 2568เกี่ยวกับการมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีที่ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีอนุญาตหรืออนุมัติเรื่องต่าง ๆ ของส่วนราชการในกำกับการบริหารราชการไปก่อนได้ แล้วเสนอคณะรัฐมนตรีทราบ
“สั่งและปฏิบัติราชการ” หมายความว่า สั่ง อนุญาต หรืออนุมัติให้ส่วนราชการ หรือข้าราชการหรือผู้ปฏิบัติงานในส่วนราชการ ปฏิบัติราชการหรือดำเนินการใด ๆ ได้ตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชา รัฐมนตรีเจ้าสังกัดหรือรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง
“กำกับดูแล” หมายความว่า กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐให้เป็นไปตามกฎหมาย และให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาล และมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการสั่งให้รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐ ชี้แจง แสดงความคิดเห็น ทำรายงาน หรือยับยั้งการกระทำของรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชนหรือหน่วยงานของรัฐที่ขัดต่อวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐ นโยบายของรัฐบาลหรือมติคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง และสั่งสอบสวนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดำเนินการ
ส่วนที่ 2
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ)
1.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.1.1 กระทรวงคมนาคม
1.1.2 กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
1.1.3 กระทรวงพลังงาน
1.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
1.2.1 สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
1.2.2 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
1.3 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 1.1 ถึงข้อ 1.2 ยกเว้น
1.3.1 เรื่องที่เกี่ยวกับกฎหมาย
1.3.2 การสถาปนาพระอิสริยยศ อิสริยศักดิ์ สมณศักดิ์
1.3.3 การแต่งตั้ง ในกรณีการแต่งตั้งประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด
ข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงและกรม
เอกอัครราชทูตประจำต่างประเทศ กงสุล และกรรมการที่มีตำแหน่ง
หน้าที่สำคัญ
1.3.4 การพระราชทานยศทหาร ตำรวจ ชั้นนายพล
1.3.5 การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และ
การพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
1.3.6 การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตหรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการประกาศใช้ความตกลงระหว่างประเทศ
1.3.7 เรื่องสำคัญที่เคยมีประเพณีปฏิบัติให้เสนอนายกรัฐมนตรีลงนาม
ส่วนที่ 3
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์)
2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.1.1 กระทรวงแรงงาน
2.1.2 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
2.1.3 กระทรวงสาธารณสุข
2.1.4 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
2.1.5 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
2.1.6 กรมประชาสัมพันธ์
2.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.2.1 สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
2.2.2 สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
2.3 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
2.3.1 สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน)
2.3.2 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
2.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 2.1 ถึงข้อ 2.3 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7
ส่วนที่ 4
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
3.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
3.1.1 กระทรวงยุติธรรม
3.1.2 กระทรวงวัฒนธรรม
3.1.3 สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
3.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
3.2.1 สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี
3.2.2 สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
3.2.3 สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (รวมทั้งราชการของราชบัณฑิตยสภา)
3.2.4 สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
3.2.5 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
3.2.6 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
3.3 การดำเนินคดีปกครอง รวมทั้งลงนามมอบอำนาจให้พนักงานอัยการดำเนินคดีปกครองกรณีที่มีการฟ้องนายกรัฐมนตรี
3.4 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 3.1 ถึงข้อ 3.2 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7
ส่วนที่ 5
4. รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
4.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
4.1.1 กระทรวงการคลัง
4.1.2 กระทรวงพาณิชย์
4.1.3 สำนักงบประมาณ (ยกเว้นที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรี ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ)
4.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการและสั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
4.2.1 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
4.2.2 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
4.3 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 4.1 ถึงข้อ 4.2 ยกเว้น การดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7
ส่วนที่ 6
5. รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า)
5.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
5.1.1 กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
5.1.2 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
5.1.3 กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
5.1.4 กระทรวงศึกษาธิการ
5.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชน ดังนี้
- สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน)
5.3 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 5.1 ถึงข้อ 5.2 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1 ถึงข้อ 1.3.7
ส่วนที่ 7
6. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น)
6.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้กำกับการบริหารราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
6.1.1 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
6.1.2 กระทรวงอุตสาหกรรม
6.2 ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการมีพระบรมราชโองการในเรื่องตามข้อ 6.1 ยกเว้นการดำเนินการตามกรณีในข้อ 1.3.1ถึงข้อ 1.3.7
ส่วนที่ 8
7. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล)
7.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
7.1.1 สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
7.1.2 สำนักงบประมาณ (ยกเว้นที่เกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของนายกรัฐมนตรี
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ)
7.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
7.2.1 สำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน)
7.2.2 สำนักงานกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
ส่วนที่ 9
8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี)
8.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
- กรมประชาสัมพันธ์
8.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ ดังนี้
- บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน)
ส่วนที่ 10
9. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)
9.1 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชนและหน่วยงานของรัฐ ดังนี้
9.1.1 สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)
9.1.2 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน)
9.1.3 สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน)
9.1.4 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
9.1.5 สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
ส่วนที่ 11
10. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ ปิยะทัต)
10.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ดังนี้
10.1.1 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
10.1.2 สำนักงานขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ
และการสร้างความสามัคคีปรองดอง
10.2 การมอบหมายให้กำกับดูแลองค์การมหาชน ดังนี้
- สำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน)
ส่วนที่ 12
11. รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การมหาชน หรือหน่วยงานของรัฐแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจให้ความเห็นชอบและลงนามในประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี หรือประกาศเกี่ยวกับเรื่องของหน่วยงานนั้น ๆ ดังนี้
11.1 การแต่งตั้งบุคคลหรือกรรมการในหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจนั้น
11.2 การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์แก่ชาวต่างประเทศ ยกเว้น เป็นเรื่องระดับผู้นำรัฐบาลหรือประมุขของรัฐต่างประเทศ
11.3 การให้ความเห็นชอบในการรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์หรือเหรียญตราจากต่างประเทศ
11.4 การประกาศภาพเครื่องหมายราชการ
12. รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้มีอำนาจปฏิบัติแทนนายกรัฐมนตรีในการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการในหน่วยงานที่สั่งและปฏิบัติราชการ
13. ให้รองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีที่สั่งและปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรีในส่วนราชการใด เป็นประธาน อ.ก.พ. ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงของส่วนราชการนั้นด้วย
14. ราชการที่รองนายกรัฐมนตรีได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ หากรองนายกรัฐมนตรีพิจารณาเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ และอาจมีผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนเป็นส่วนรวม หรือต้องสั่งการแก่หลายส่วนราชการหรือหลายรัฐวิสาหกิจแต่บางส่วนมิได้อยู่ในอำนาจหน้าที่กำกับการบริหารราชการของรองนายกรัฐมนตรีผู้หนึ่งผู้ใดโดยตรง ให้นำเสนอนายกรัฐมนตรีเพื่อวินิจฉัยสั่งการ
15. เมื่อรองนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้วให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบเป็นระยะตามความเหมาะสม
16. ในการปฏิบัติหน้าที่รองนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจตามคำสั่งนี้ ให้รองนายกรัฐมนตรีบริหารราชการโดยมุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดอง ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
11. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 302 /2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 302 /2568 เรื่อง มอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2568 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศ ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2568 นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 และมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 และมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการมอบอำนาจพ.ศ. 2550 จึงมีคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ และมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ตามกฎหมาย และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
ส่วนที่ 1
1. รองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ)
1.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
1.1.1 คณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
1.1.2 คณะกรรมการส่งเสริมการพาณิชยนาวี
1.1.3 คณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
1.1.4 คณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ
1.1.5 คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
1.1.7 คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
1.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.2.1 คณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์
1.2.2 คณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ
1.2.3 คณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
1.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
1.3.1 คณะกรรมการกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน
1.3.2 คณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน
1.3.3 คณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ
1.3.4 คณะกรรมการนโยบายการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล
1.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.4.1 คณะกรรมการพัฒนาระบบการติดตามคนหาย และการพิสูจน์คนนิรนาม
และศพนิรนาม
1.4.2 คณะกรรมการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ
1.4.3 คณะกรรมการนโยบายการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนแห่งชาติ
1.4.4 คณะกรรมการบริหารระบบการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ
1.4.5 คณะกรรมการพัฒนาพื้นที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
1.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
1.5.1 รองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
1.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา จังหวัดชายแดนภาคใต้
1.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
1.5.4 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
1.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
1.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการ
ขนส่งสินค้าและบริการของประเทศ
1.6.2 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
1.6.3 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
ส่วนที่ 2
2. รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์)
2.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
2.1.1 คณะกรรมการพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ
2.1.2 คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาการตั้งครรภ์ในวัยรุ่น
2.1.3 คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ
2.1.4 คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
2.1.5 คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
2.1.6 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ
2.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.2.1 คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและแก้ไขปัญหาเอดส์
2.2.2 คณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ
2.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
2.3.1 คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ
2.3.2 คณะกรรมการสุขภาพจิตแห่งชาติ
2.3.3 คณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด
2.3.4 คณะกรรมการอาหารแห่งชาติ
2.3.5 คณะกรรมการนโยบายสมุนไพรแห่งชาติ
2.3.6 คณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ
2.3.7 คณะกรรมการการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
2.3.8 คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของราชการ
2.3.9 คณะกรรมการประสานและกำกับการดำเนินงานป้องกันและปราบปราม
การค้ามนุษย์
2.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.4.1 คณะกรรมการบริหารแรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง
2.4.2 คณะกรรมการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ
2.4.3 คณะกรรมการภูมิสารสนเทศแห่งชาติ
2.4.4 คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ
2.4.5 คณะกรรมการเร่งรัดการปฏิบัติราชการ
2.4.6 คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย
สำนักนายกรัฐมนตรี
2.4.7 คณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ
2.4.8 คณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
2.4.9 คณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ
2.4.10 คณะกรรมการการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์
2.4.11 คณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน
2.4.12 คณะกรรมการควบคุมการเรี่ยไรของหน่วยงานของรัฐ
2.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
2.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ
2.5.2 รองประธานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
2.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
2.5.4 อุปนายกสภาลูกเสือไทย
2.5.5 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
2.5.6 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
2.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
2.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายอวกาศแห่งชาติ
2.6.2 กรรมการในคณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน
2.6.3 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
ส่วนที่ 3
3. รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ)
3.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
3.1.1 คณะกรรมการกฤษฎีกา
3.1.2 คณะกรรมการคดีพิเศษ
3.1.3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
3.1.4 สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ
3.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
- คณะกรรมการส่งเสริมคุณธรรมแห่งชาติ
3.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
3.3.1 คณะกรรมการพัฒนาการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ
3.3.2 คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ
3.3.3 คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
3.3.4 คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน
3.3.5 คณะกรรมการมาตรฐานทางจริยธรรม
3.3.6 คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดการเทียบตำแหน่ง
3.3.7 คณะกรรมการพัฒนาและส่งเสริมองค์การมหาชน
3.3.8 คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
3.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
3.4.1 คณะกรรมการพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์แห่งชาติ
3.4.2 คณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
3.4.3 คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ
3.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
3.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาพระปริยัติธรรม
3.5.2 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
3.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
3.6.1 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สิน
ทางปัญญาแห่งชาติ
3.6.2 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
ส่วนที่ 4
4. รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ)
4.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
4.1.1 คณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ
4.1.2 คณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน
4.1.3 คณะกรรมการนโยบายทุนรัฐวิสาหกิจ
4.1.4 คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ
4.1.5 คณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
4.1.6 คณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
สำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
4.1.7 คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน
4.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
4.2.1 คณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ
4.2.2 คณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
4.2.3 คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
4.2.4 คณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
4.2.5 คณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้าและบริการ
ของประเทศ
4.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม
4.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
4.4.1 คณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ
4.4.2 คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร
4.4.3 คณะกรรมการอำนวยการจัดระบบศูนย์ราชการ
4.4.4 คณะกรรมการบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษถนนราชดำเนิน
4.4.5 คณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน
4.4.6 คณะกรรมการสนับสนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน
โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย
4.4.7 คณะกรรมการด้านการคุ้มครองการลงทุนระหว่างประเทศ
4.4.8 คณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
4.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
4.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
4.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษ
ภาคตะวันออก
4.5.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดย่อม
4.5.4 รองประธานกรรมการ คนที่ 3 ในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ
4.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
4.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ
4.6.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
4.6.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
4.6.4 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
4.6.5 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
ส่วนที่ 5
5. รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า)
5.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
5.1.1 คณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ
5.1.2 คณะกรรมการนโยบายการประมงแห่งชาติ
5.1.3 คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ
5.1.4 คณะกรรมการส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคมแห่งชาติ
5.1.5 คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ
5.1.6 คณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ
5.1.7 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์
5.1.8 สภานายกสภาลูกเสือไทย
5.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
5.2.1 คณะกรรมการการกีฬาแห่งประเทศไทย
5.2.2 คณะกรรมการนโยบายการกีฬาแห่งชาติ
5.2.3 คณะกรรมการบริหารกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ
5.2.4 คณะกรรมการกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
5.2.5 คณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
5.2.6 คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนแห่งชาติ
5.2.7 คณะกรรมการส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว
5.2.8 คณะกรรมการนโยบายพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา
5.2.9 คณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัย
5.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
5.4.1 คณะกรรมการช่วยเหลือเกษตรกรและผู้ยากจน
5.4.2 คณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ
5.4.3 คณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติ
5.4.4 คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาสถานภาพสตรีแห่งชาติ
5.4.5 คณะกรรมการนโยบายและยุทธศาสตร์ครอบครัวแห่งชาติ
5.4.6 คณะกรรมการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์
5.4.7 คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาองค์กรภาคประชาสังคม
5.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
5.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ
5.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ
5.5.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
5.5.4 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
5.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
5.6.1 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
5.6.2 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทาน
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
ส่วนที่ 6
6. รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น)
6.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ
6.2 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
- คณะกรรมการพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งชาติ
6.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
6.3.1 คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ
6.3.2 คณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเล และชายฝั่งแห่งชาติ
6.3.3 คณะกรรมการนโยบายป่าชุมชน
6.3.4 คณะกรรมการการมาตรฐานแห่งชาติ
6.4 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
6.4.1 คณะกรรมการนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ
6.4.2 คณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ
6.4.3 คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยอนุสัญญาคุ้มครองมรดกโลก
6.4.4 คณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์และเมืองเก่า
6.5 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
6.5.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ
6.5.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเพิ่มขีดความสามารถ
ในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย
6.5.3 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ
6.6 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
6.6.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
6.6.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ
6.6.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันและเคมีภัณฑ์
6.6.4 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการนโยบายทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติ
6.6.5 กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
6.6.6 กรรมการในคณะกรรมการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
6.6.7 กรรมการในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปี
ส่วนที่ 7
7. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล)
7.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- คณะกรรมการพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
7.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- คณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองแห่งชาติ
7.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
- คณะกรรมการนโยบายรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ
ส่วนที่ 8
8. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี)
8.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
8.1.1 คณะกรรมการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์
8.1.2 คณะกรรมการภาพยนตร์และวีดิทัศน์แห่งชาติ
8.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- รองประธานกรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
8.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
8.3.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประชาสัมพันธ์แห่งชาติ
8.3.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ
ส่วนที่ 9
9. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนภินทร ศรีสรรพางค์)
9.1 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
9.1.1 กรรมการในคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ
9.1.2 กรรมการในคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน
9.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
9.2.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
9.2.2 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการบริหารสินเชื่อเกษตรแห่งชาติ
9.2.3 รองประธานกรรมการ คนที่ 2 ในคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
9.2.4 กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
9.2.5 กรรมการในคณะกรรมการพัฒนาระบบการบริหารจัดการขนส่งสินค้า
และบริการของประเทศ
9.2.6 กรรมการในคณะกรรมการประสานการบริการด้านการลงทุน
ส่วนที่ 10
10. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ ปิยะทัต)
10.1 การมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการแทนนายกรัฐมนตรีในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
- คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
10.2 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย ดังนี้
10.2.1 กรรมการในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนา
จังหวัดชายแดนภาคใต้
10.2.2 กรรมการในคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก
10.3 การมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานกรรมการ และกรรมการในคณะกรรมการต่าง ๆ ที่จัดตั้งขึ้นตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ดังนี้
10.3.1 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการประสานงานเพื่อจัดให้มีโฉนดชุมชน
10.3.2 รองประธานกรรมการ คนที่ 1 ในคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนา
องค์กรภาคประชาสังคม
10.3.3 รองประธานกรรมการในคณะกรรมการจัดการเรื่องราวร้องทุกข์
ส่วนที่ 11
11. เมื่อรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการตามที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจแล้ว ให้รายงานนายกรัฐมนตรีทราบทุกสามสิบวัน
12. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายและมอบอำนาจให้ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการในคณะกรรมการตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีในคำสั่งนี้ พิจารณาความจำเป็นและความเหมาะสมในการยุบเลิกคณะกรรมการดังกล่าว หากเห็นว่าหมดความจำเป็นหรือซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานอื่น หรืออาจยุบรวมคณะกรรมการชุดต่าง ๆ เข้าด้วยกัน หรือปรับปรุงองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการดังกล่าว โดยการยกเลิกหรือแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง หรือจัดทำระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นใหม่ โดยยึดหลักการมีผู้รับผิดชอบภารกิจอย่างชัดแจ้ง การไม่ปฏิบัติงานซ้ำซ้อนกัน และการบูรณาการภารกิจให้เกิดการประสานและสอดคล้องรองรับกันแล้วเสนอผลการพิจารณา และข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีที่ขอแก้ไขเพิ่มเติมหรือจัดทำขึ้นใหม่ต่อคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่เห็นควรให้คงระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ๆ ไว้ตามเดิมให้รายงานเหตุผลและความจำเป็นด้วยเช่นกัน
13. ในส่วนการแต่งตั้งให้รัฐมนตรีคนใดดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รองประธานกรรมการ และกรรมการ ในคณะกรรมการตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เป็นไปตามกฎหมายหรือระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการนั้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
12. เรื่อง คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 303/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีเสนอ คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 303/2568 เรื่อง มอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค
ตามที่ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 7 กันยายน พุทธศักราช 2568 และพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งรัฐมนตรี ตามประกาศ ลงวันที่ 19 กันยายน พุทธศักราช 2568 นั้น
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และมาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2550 ประกอบกับพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ พ.ศ. 2565ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค พ.ศ. 2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ประกาศคณะกรรมการนโยบายการบริหารงานเชิงพื้นที่แบบบูรณาการ เรื่อง การจัดตั้งภาค กลุ่มจังหวัด และกำหนดจังหวัด ที่เป็นศูนย์ปฏิบัติการของกลุ่มจังหวัด ลงวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 และคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 221/2561 เรื่อง กำหนดพื้นที่การตรวจราชการของผู้ตรวจราชการ ลงวันที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2561 จึงมีคำสั่งมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาค ดังต่อไปนี้
1. พื้นที่
1.1 รองนายกรัฐมนตรี (นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 5 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เฉพาะจังหวัดชุมพร จังหวัดนครศรีธรรมราช จังหวัดพัทลุง และจังหวัดสุราษฎร์ธานี
2) เขตตรวจราชการที่ 6 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ประกอบด้วย จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต จังหวัดระนอง และจังหวัดสตูล
1.2 รองนายกรัฐมนตรี (นายโสภณ ซารัมย์) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 10 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก เฉียงเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดเลย จังหวัดหนองคาย จังหวัดหนองบัวลำภู และจังหวัดอุดรธานี
2) เขตตรวจราชการที่ 11 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดนครพนม จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดสกลนคร
3) เขตตรวจราชการที่ 12 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง ประกอบด้วย จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดขอนแก่น จังหวัดมหาสารคาม และจังหวัดร้อยเอ็ด
4) เขตตรวจราชการที่ 13 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดชัยภูมิ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดบุรีรัมย์ และจังหวัดสุรินทร์
5) เขตตรวจราชการที่ 14 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดยโสธร จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดอำนาจเจริญ และจังหวัดอุบลราชธานี
1.3 รองนายกรัฐมนตรี (นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 5 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย เฉพาะจังหวัดสงขลา
1.4 รองนายกรัฐมนตรี (นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 2 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางปริมณฑล ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนครปฐม และจังหวัดสมุทรปราการ
1.5 รองนายกรัฐมนตรี (ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 7 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคใต้ชายแดน ประกอบด้วย จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปัตตานี และจังหวัดยะลา
2) เขตตรวจราชการที่ 15 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดแม่ฮ่องสอน จังหวัดลำปาง และจังหวัดลำพูน
3) เขตตรวจราชการที่ 16 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดน่าน จังหวัดพะเยา และจังหวัดแพร่
1.6 รองนายกรัฐมนตรี (นายสุชาติ ชมกลิ่น) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 8 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 1 ประกอบด้วย จังหวัดฉะเชิงเทรา จังหวัดชลบุรี และจังหวัดระยอง
2) เขตตรวจราชการที่ 9 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก 2 ประกอบด้วย จังหวัดจันทบุรี จังหวัดตราด จังหวัดนครนายก จังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดสระแก้ว
1.7 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายภราดร ปริศนานันทกุล) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 1 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนบน ประกอบด้วย จังหวัดชัยนาท จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดลพบุรี จังหวัดสระบุรี จังหวัดสิงห์บุรี และจังหวัดอ่างทอง
1.8 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นางสาวศุภมาส อิศรภักดี) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 18 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดกำแพงเพชร จังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดพิจิตร และจังหวัดอุทัยธานี
1.9 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายนภินทร ศรีสรรพางค์) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
1) เขตตรวจราชการที่ 3 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และจังหวัดสุพรรณบุรี
2) เขตตรวจราชการที่ 4 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคกลางตอนล่าง 2 ประกอบด้วย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จังหวัดเพชรบุรี จังหวัดสมุทรสงคราม และจังหวัดสมุทรสาคร
1.10 รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายสันติ ปิยะทัต) กำกับและติดตามการปฏิบัติราชการ ดังนี้
- เขตตรวจราชการที่ 17 ของสำนักนายกรัฐมนตรี ได้แก่ กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนล่าง 1 ประกอบด้วย จังหวัดตาก จังหวัดพิษณุโลก จังหวัดเพชรบูรณ์ จังหวัดสุโขทัย และจังหวัดอุตรดิตถ์
2. การกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคตามคำสั่งนี้ หมายถึง การตรวจราชการ การขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรายงานเหตุการณ์และผลการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี ยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัดและยุทธศาสตร์จังหวัด การประสานราชการเพื่อให้เกิดการบูรณาการยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และยุทธศาสตร์จังหวัดไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม การเร่งรัด การติดตามผล การให้คำแนะนำช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ของรัฐในพื้นที่ และการประเมินผลการปฏิบัติงานของหน่วยงานของรัฐและเจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึงการตรวจสอบความถูกต้องในการดำเนินโครงการและการใช้จ่ายงบประมาณของรัฐ โดยให้คณะกรรมการธรรมาภิบาลจังหวัดมีส่วนร่วมในการตรวจสอบด้วย
3. ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรายงานปัญหาอุปสรรค แนวทางการแก้ไข ตลอดจนข้อเสนอแนะต่าง ๆ อันเนื่องจากการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในเขตตรวจราชการหรือพื้นที่ในความรับผิดชอบต่อนายกรัฐมนตรี
4. ให้สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีจัดให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเป็นฝ่ายเลขานุการของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในกรณีที่รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีติดภารกิจจำเป็นเร่งด่วน สามารถมอบหมายให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรีประจำเขตตรวจราชการปฏิบัติหน้าที่แทนแล้วรายงานผลการปฏิบัติงานให้ทราบต่อไป
5. ให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้ตรวจราชการกระทรวง และหัวหน้าส่วนราชการในจังหวัดที่เกี่ยวข้องเสนอข้อมูล อำนวยความสะดวก และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งนี้ด้วย
6. ให้เบิกค่าใช้จ่ายในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี จากงบประมาณของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี หมวดเงินอุดหนุนทั่วไป โครงการเพิ่มขีดสมรรถนะในการกำกับและติดตามการปฏิบัติราชการในภูมิภาคของรองนายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2568 เป็นต้นไป
ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/100606