สาระน่ารู้
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 4 มิถุนายน 2568
วันนี้ 4 มิถุนายน 2568 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี ณ ห้องประชุม 501 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ ศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี ประจำศาลยุติธรรม)
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ....
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ....
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ....
6. เรื่อง ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ-สังคม |
7. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย
8. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map)
9. เรื่อง แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
10. เรื่อง ขออนุมัติการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับดำเนินโครงการเร่งรัดการดำเนินงานตามหลักเกณฑ์การแก้ไขปัญหาสัญชาติและสถานะบุคคลให้แก่บุคคลที่อพยพเข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรเป็นเวลานาน และกลุ่มบุตรที่เกิดในราชอาณาจักรตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
11. เรื่อง ผลการพิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ญัตติเพื่อพิจารณาศึกษาแนวทางแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนอันเกิดจากลิง ของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร
12. เรื่อง มาตรการป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการบรรจุบุคคลผู้ซึ่งเคยออกจากราชการเพราะกระทำผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการกลับเข้ารับราชการ
13. เรื่อง (ร่าง) ข้อเสนอแก้ไขปัญหาการส่งออกทุเรียนไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน
14. เรื่อง แผนปฏิบัติการด้านทรัพยากรน้ำ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569
15. เรื่อง ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายด้านภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของภาคเอกชนต่อภาครัฐจากกิจกรรมเสวนา “ถอดรหัสนโยบายภาษีทรัมป์ : โอกาสสู่การค้ายุคใหม่”
ต่างประเทศ |
16. เรื่อง ความตกลงระหว่างราชอาณาจักรไทยและรัฐสุลต่านบรูไนดารุสซาลามเพื่อการขจัดการเก็บภาษีซ้อนในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเก็บจากเงินได้ และการป้องกันการหลบหลีกและการหลีกเลี่ยงรัษฎากร
17. เรื่อง ขอความเห็นชอบการปรับโอนพิกัดศุลกากรของกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า ภายใต้ความตกลงการค้าเสรีไทย - ชิลี (TCFTA)
18. เรื่อง ท่าทีไทยในการประชุมสหประชาชาติด้านมหาสมุทร ครั้งที่ 3 (3rd United Nations Ocean Conference: UNOC-3)
19. เรื่อง ขออนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลงระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย กับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยกรรมสิทธิ์ การใช้การบริหาร และการบำรุงรักษา สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ – บอลิคำไซ)
แต่งตั้ง |
20. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ (กระทรวงสาธารณสุข)
21. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงยุติธรรม)
22. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
23. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการการเมือง (กระทรวงกลาโหม)
24. เรื่อง การแต่งตั้งผู้แทนองค์กรเอกชนเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. 2546 มาตรา 4 (5)
25. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่พ้นจากตำแหน่งก่อนครบกำหนดวาระ และแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพิ่มเติมในคณะกรรมการเฉพาะด้าน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้อมูล
26. เรื่อง การแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
27. เรื่อง การแต่งตั้งคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ
28. เรื่อง แต่งตั้งประธานกรรมการในคณะกรรมการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์
29. เรื่อง ขอความเห็นชอบในการแต่งตั้งผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย
*****************************
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... (การกำหนดตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีประจำศาลยุติธรรม)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .… รวม 2 ฉบับ ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา (สคก.) ตรวจพิจารณาแล้ว รวมทั้งรับทราบแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว ตามที่สำนักงานศาลยุติธรรม (ศย.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่สำนักงานศาลยุติธรรมเสนอ เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีทำหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีและดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดตามที่ศาลมอบหมายแต่จะต้องมิใช่เป็นการก้าวล่วงไปวินิจฉัยชี้ขาดคดีหรือดำเนินกระบวนพิจารณาอื่นใดที่ศาลจะต้องดำเนินการเองเป็นการเฉพาะ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือศาลในการดำเนินคดีประเภทอื่นที่มีกฎหมายวิธีพิจารณาความบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะด้วย โดยกำหนดให้อำนาจหน้าที่และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานคดี คุณสมบัติ การแต่งตั้ง การเลื่อนระดับการบังคับบัญชาการรักษาจริยธรรม ตลอดจนการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี เป็นไปตามข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา รวมถึงให้เจ้าพนักงานคดีได้รับค่าตอบแทนพิเศษตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมกำหนด ทั้งนี้ การกำหนดให้มีตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ในประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่งดังกล่าวจะมีผลเป็นการรับรองตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีไว้ครอบคลุมในทุกประเภทคดี ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา คดียาเสพติด คดีค้ามนุษย์ คดีแพ่งทั่วไป หรือคดีอื่น ๆ ในศาลยุติธรรม
2. ร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่ .) พ.ศ. .... เป็นร่างพระราชบัญญัติที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเช่นเดียวกัน มีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 (กฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของศาลยุติธรรม) เพื่อกำหนดให้เจ้าพนักงานคดีดังกล่าวเป็นข้าราชการศาลยุติธรรม รวมถึงแก้ไขเพิ่มเติมให้เจ้าพนักงานคดีที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด เช่น ปฏิบัติงานมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 4 ปี ได้รับโอกาสในการมีสิทธิเป็นผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ (สนามเล็ก) ต่อไป เพื่อสนับสนุนสายงานเจ้าพนักงานคดีให้เป็นบุคลากรสายวิชาชีพเฉพาะด้าน ทั้งนี้ การกำหนดให้มีเจ้าพนักงานคดีจะเป็นการช่วยลดภาระงานในส่วนที่ผู้พิพากษาไม่จำต้องกระทำเองซึ่งจะทำให้ผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินคดีได้อย่างเต็มที่ เพิ่มประสิทธิภาพในการพิจารณา พิพากษาคดีของศาลยุติธรรมส่งผลให้คดีเสร็จสิ้นไปได้อย่างรวดเร็ว รวมถึงเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและหลักประกันให้แก่ประชาชนในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมว่าการพิจารณา พิพากษาคดีนั้นจะเป็นไปด้วยความรวดเร็ว เที่ยงธรรม และมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมได้มีมติเห็นชอบด้วยแล้ว
3. สำนักงานศาลยุติธรรมได้ดำเนินการตามแนวทางการจัดทำและการเสนอร่างกฎหมายตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว และได้เสนอแผนในการจัดทำกฎหมายลำดับรอง กรอบระยะเวลาและกรอบสาระสำคัญของกฎหมายลำดับรองที่ออกตามร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... และร่างพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม (ฉบับที่..) พ.ศ. ....จำนวน 3 ฉบับ เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีด้วยแล้ว
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงยุติธรรม สำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสำนักงาน ก.พ. สำนักงาน ก.พ.ร. และสำนักงานศาลปกครอง พิจารณาแล้วเห็นชอบหรือไม่ขัดข้องในหลักการของร่างพระราชบัญญัติในเรื่องนี้ รวม 2 ฉบับ โดยมีความเห็นหรือข้อสังเกตเพิ่มเติมในประเด็นต่าง ๆ เช่น
1) ประเด็นการกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล สำนักงาน ก.พ. และสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า การกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่และการบริหารงานบุคคลของเจ้าพนักงานคดี ควรให้คณะกรรมการข้าราชการศาลยุติธรรมเป็นผู้กำหนด
2) ประเด็นอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดี สำนักงบประมาณและสำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่า ควรจัดทำกรอบอัตรากำลังของตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีเท่าที่จำเป็นและควรเกลี่ยอัตรากำลังเจ้าพนักงานคดีที่ปฏิบัติงานในศาลยุติธรรมแทนการเพิ่มอัตรากำลังเป็นลำดับแรกเพื่อมิให้เป็นภาระงบประมาณในระยะยาว
3) ประเด็นคุณสมบัติของผู้สมัครทดสอบความรู้เพื่อบรรจุเป็นข้าราชการตุลาการ สำนักงาน ก.พ. เห็นว่า ควรกำหนดระดับของข้าราชการและระยะเวลาปฏิบัติงานในตำแหน่งเจ้าพนักงานคดีหรือข้าราชการศาลยุติธรรมที่ได้ประกอบวิชาชีพทางกฎหมายในตำแหน่งอื่นเพิ่มเติม เช่น ดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ
4) ประเด็นอื่นๆ กระทรวงยุติธรรมเห็นว่า เมื่อกฎหมายมีผลใช้บังคับแล้ว ควรมีการประเมินผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นจากการบังคับใช้กฎหมายตามกฎหมายว่าด้วยหลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย
2. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่ายเงินสมทบ ประเภทของประโยชน์ทดแทน ตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิในการรับประโยชน์ทดแทนของบุคคล ซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน พ.ศ. 2561 ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม ดังนี้
1.1 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ โดยลดระยะเวลาให้น้อยลง หากแพทย์มีความเห็นให้หยุดพัก เพื่อการรักษาพยาบาล ตั้งแต่ 1 วันขึ้นไป (200 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน หรือ 90 วัน) ปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาลและไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ครั้งละ 50 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง เป็น ครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 หากไม่ได้พักรักษาพยาบาลในสถานพยาบาล และไม่มีความเห็นของแพทย์ให้หยุดพักเพื่อการรักษาพยาบาล โดยมีใบรับรองแพทย์มาแสดงต่อสำนักงานประกันสังคม (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็น ครั้งละ 200 บาท ปีละไม่เกิน 3 ครั้ง)
1.2 กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่เจ็บป่วยด้วยโรคติดต่ออันตราย ตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ รวมถึงโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) และเข้ารับการรักษาตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขหรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ (จาก ไม่ได้กำหนดไว้ เป็น 200 บาท/วัน ไม่เกิน 30 วัน หรือ 90 วัน)
1.3 แก้ไขหลักเกณฑ์การได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 และทางเลือกที่ 2 ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ต่อเดือนตลอดชีวิต (เดิม 15 ปี) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือน (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,000 – 2,000 บาท/เดือน) และปรับเพิ่มอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในแต่ละเดือนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีทุพพลภาพ (จาก 500 – 1,000 บาท/เดือน เป็น 1,500 – 3,000 บาท/เดือน)
1.4 แก้ไขระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนของผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 3 ในกรณีสงเคราะห์บุตร โดยให้ผู้ประกันตนมีสิทธิได้รับเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับบุตรซึ่งมีอายุไม่เกิน 7 ปีบริบูรณ์ (เดิม ไม่เกิน 6 ปีบริบูรณ์) จำนวนคราวละไม่เกิน 2 คน ในอัตรา 300 บาทต่อเดือนต่อบุตร 1 คน (เดิม 200 บาท/เดือน)
1.5 แก้ไขหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตนทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ โดยให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพให้แก่บุคคล ซึ่งผู้ประกันตนทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพนั้นแต่ถ้าผู้ประกันตนมิได้ทำหนังสือระบุไว้ ให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่สามีภริยา บิดามารดา หรือบุตรของผู้ประกันตนในจำนวนที่เท่ากัน
1.6 กำหนดบทเฉพาะกาล เช่น ให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19) ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 และเข้ารับบริการหรือการรักษาพยาบาลตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข หรือตามมาตรการของรัฐ มีสิทธิได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ตามที่กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคมกำหนดตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอยู่ก่อนวันที่ร่างพระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับไปจนถึงวันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ กำหนดให้ผู้ประกันตน ทางเลือกที่ 1 ทางเลือกที่ 2 และทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีทุพพลภาพ เป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายเดิม ซึ่งสิ้นสุดการได้รับสิทธิไปแล้วหรือยังคงได้รับสิทธิอยู่ในปัจจุบัน มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีทุพพลภาพเป็นเงินทดแทนการขาดรายได้ตามกฎหมายใหม่ และกำหนดให้ผู้ประกันตนทางเลือกที่ 3 ที่ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรตามกฎหมายเดิม มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรเพิ่มขึ้น ตามกฎหมายใหม่ ซึ่งคณะกรรมการประกันสังคม (ชุดที่ 13 และชุดที่ 14) ได้มีมติให้ความเห็นชอบกับการแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ ระยะเวลา และอัตราการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีทุพพลภาพ กรณีสงเคราะห์บุตร และกรณีชราภาพ ตามร่างกฎหมาย ดังกล่าวแล้ว
ประโยชน์ทดแทน |
พ.ร.ฎ.ฯ พ.ศ. 2561 |
ร่าง พ.ร.ฎ. ที่เสนอในครั้งนี้ |
กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย |
|
|
กรณีโรคติดต่ออันตราย/โรค |
|
|
กรณีทุพพลภาพ |
|
|
กรณีสงเคราะห์บุตร |
|
|
หลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีผู้ประกันตนถึงแก่ความตายก่อนอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือก่อนที่จะได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ |
|
|
บทเฉพาะกาล |
|
|
2. รง. ได้เสนอรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาด้วยแล้ว
3. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง พ.ศ. .... (ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568) ตามที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 121 บัญญัติให้ในปีหนึ่ง มีสมัยประชุมสามัญของรัฐสภาสองสมัยๆ หนึ่งให้มีกำหนดเวลาหนึ่งร้อยยี่สิบวัน โดยให้ถือวันที่มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ส่วนวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สองให้เป็นไปตามที่สภาผู้แทนราษฎรกำหนด และเนื่องจากได้มีพระราชกฤษฎีกาเรียกประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2566 กำหนดให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมเป็นครั้งแรก โดยให้ถือเป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 และต่อมาสภาผู้แทนราษฎรได้กำหนดให้วันที่ 12 ธันวาคม เป็นวันเริ่มสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติรับทราบแล้ว ดังนั้น ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จึงมีวันเปิดและวันปิดสมัยประชุม ดังนี้
ปีที่ |
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง |
สมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง |
1 |
3 กรกฎาคม 2566 – 30 ตุลาคม 2566 |
12 ธันวาคม 2566 – 9 เมษายน 2567 |
2 |
3 กรกฎาคม 2567 – 30 ตุลาคม 2567 |
12 ธันวาคม 2567 – 10 เมษายน 2568 |
3 |
3 กรกฎาคม 2568 – 30 ตุลาคม 2568 |
12 ธันวาคม 2568 – 10 เมษายน 2569 |
4 |
3 กรกฎาคม 2569 – 30 ตุลาคม 2569 |
12 ธันวาคม 2569 – 10 เมษายน 2570 |
โดยที่ได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาปิดประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่สอง พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2568 ดังนั้น จึงสมควรให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่งสำหรับปี พ.ศ. 2568 ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2568
4. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงว่ากำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรับความเห็นของสำนักงาน ก.พ.ร. ไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ปัจจุบันหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการขอรับใบอนุญาต การอนุญาตและการออกใบแทนใบอนุญาตให้ส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่น ซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักร ออกนอกราชอาณาจักรเป็นไปตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์หรือซากดึกดำบรรพ์ที่ได้ถูกแปรสภาพหรือเปลี่ยนแปลงเป็นรูปลักษณะอื่นซึ่งเป็นซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกราชอาณาจักร พ.ศ. 2555 ซึ่งได้ใช้บังคับมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการดำเนินการดังกล่าวไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ในปัจจุบัน จึงทำให้ต้องมีการปรับปรุงแก้ไขให้มีความทันสมัยยิ่งขึ้นและสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 และพระราชบัญญัติการปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจึงได้เสนอร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกนอกราชอาณาจักร พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักร ออกจากนอกราชอาณาจักรเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพสังคมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน
2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และเงื่อนไข การส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์ที่พบในราชอาณาจักรออกราชอาณาจักร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ ดังนี้
ประเด็น |
รายละเอียด |
1. บทนิยาม |
|
2. ประเภทซากดึกดำบรรพ์ที่จะได้รับอนุญาตให้ส่งหรือนำออกนอกราชอาณาจักร |
(1) ซากดึกดำบรรพ์ที่ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 26 |
3. ชนิดซากดึกดำบรรพ์ที่มีระยะเวลานำกลับมาในราชอาณาจักรและการขอขยายระยะเวลานำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักร กรณีมีเหตุจำเป็นหรือเหตุสุดวิสัย |
|
4. การยื่นคำขอรับใบอนุญาตนำซากดึกดำบรรพ์ออกนอกราชอาณาจักร |
|
5. การแจ้งหรือให้ตรวจสอบซากดึกดำบรรพ์ |
|
6. กรอบเวลาในการพิจารณาการออกใบอนุญาตและการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของคำขอรับใบอนุญาต |
|
7.การกำหนดรูปแบบบัตรแสดงเลขใบอนุญาต |
|
8.การแจ้งการส่งหรือนำซากดึกดำบรรพ์กลับเข้ามาในราชอาณาจักร |
|
9.ช่องทางการยื่นคำขอรับใบอนุญาตและคำขอรับใบแทนใบอนุญาต |
|
10. บทเฉพาะกาล |
|
3. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาแล้วไม่ขัดข้องหรือเห็นชอบกับร่างกฎกระทรวงดังกล่าว โดยมีความเห็นเพิ่มเติมบางประการ ได้แก่ สำนักงาน ก.พ.ร. เห็นว่ากรณีการกำหนดระยะเวลาที่ผู้ยื่นคำขอจะต้องดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมคำขอหรือจัดส่งเอกสารหรือหลักฐานที่ตรวจสอบพบว่าคำขอไม่ถูกต้องครบถ้วน ควรกำหนดให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการอำนวยความสะดวกในการพิจารณาอนุญาตของทางราชการ พ.ศ. 2558 รวมถึงควรเร่งดำเนินการจัดทำคู่มือสำหรับประชาชนและเผยแพร่ตามช่องทางที่กำหนด รวมถึงในเว็บไซต์ศูนย์รวมข้อมูลเพื่อติดต่อราชการ (www.info.go.th) ต่อไป
5. เรื่อง ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงยุติธรรมรับความเห็นของสำนักงบประมาณและสำนักงานศาลยุติธรรมไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1. เนื่องจากพระราชบัญญัติค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีสาระสำคัญเป็นการให้ความช่วยเหลือบุคคล 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้เสียหายในคดีอาญา จะต้องเป็นบุคคลซึ่งได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกายหรือจิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้นหรือตกเป็นเหยื่ออาชญากรรม (2) จำเลยในคดีอาญา จะต้องเป็นบุคคลซึ่งถูกพนักงาน อัยการฟ้องต่อศาลว่าได้กระทำความผิดอาญาและถูกจำคุกในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมาได้มีการถอนฟ้องหรือศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้องว่าจำเลยไม่มีความผิด และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ได้กำหนดให้การจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราที่กำหนัด เช่น กรณีผู้เสียหายบาดเจ็บจะได้รับค่าฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายและจิตใจเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 20,000 บาท หรือกรณีจำเลยไม่ถึงแก่ความตายจะได้รับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาลให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 40,000 บาท ฯลฯ
2. โดยที่จากกรณีเหตุการณ์กราดยิงที่จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และมีเสียงสะท้อนจากประชาชนว่าอัตราในการช่วยเหลือเยียวยาค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับการสูญเสียทั้งกรณีเสียชีวิตและกรณีได้รับบาดเจ็บไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพและสภาวการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับ ปัญหาความล่าช้าของขั้นตอนตามกระบวนการที่ยังมีความยุ่งยากซับซ้อนและเป็นภาระแก่ประชาชนในการที่จะต้องแสดงตนเพื่อขอรับค่าตอบแทนอีกครั้งหลังจากได้รับการอนุมัติแล้ว เนื่องจากในการยื่นคำขอการให้ความช่วยเหลือจะต้องมาติดต่อขอรับบริการ 2 ครั้ง (ครั้งที่ 1ยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ยื่นขอรับเงิน) ทำให้ประชาชนไม่ได้รับความสะดวก มีภาระค่าใช้จ่าย และได้รับเงินล่าช้า
3. ยธ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. .... ขึ้น มีสาระสำคัญเป็นการปรับปรุงการกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และอัตราในการจ่ายค่าตอบแทน ผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาของกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและอัตราในการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน อัตราการช่วยเหลือเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญามีความเหมาะสม ตอบสนองความต้องการของประชาชนและลดขั้นตอนที่เกินความจำเป็น ไม่เป็นภาระของประชาชน และเกิดความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น มีสาระสำคัญ สรุปได้ ดังนี้
ประเด็น |
สาระสำคัญ |
1. หลักการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนแก่ผู้เสียหาย |
• ในการพิจารณาจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ให้คณะกรรมการ พิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาคำนึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงของการกระทำความผิดและสภาพความเสียหายที่ผู้เสียหายได้รับ รวมถึงโอกาสที่ผู้เสียหายจะได้รับการบรรเทาความเสียหายโดยทางอื่นด้วย (คงเดิม) |
2. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของผู้เสียหาย) |
• ให้ได้รับค่าตอบแทนไม่เกิน 300,000 บาท (เดิม 30,000 – |
3. การจ่ายค่าตอบแทนในกรณีผู้เสียหายไม่เสียชีวิต |
• กำหนดค่ารักษาพยาบาลเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 80,000 บาท |
4. หลักเกณฑ์พิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลย |
• ในการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาให้คณะกรรมการคำนึงถึงพฤติการณ์ของคดี ความเดือดร้อนที่ได้รับและโอกาสที่จำเลยจะได้รับการชดเชยความเสียหายจากทางอื่นด้วย (คงเดิม) |
5. การจ่ายค่าทดแทนในกรณีจำเลยถึงแก่ความตาย (จ่ายแก่ทายาทของจำเลย) |
• กรณีที่จำเลยในคดีอาญาถึงแก่ความตาย อันเป็นผลโดยตรงจากการถูกดำเนินคดี ให้ได้รับค่าทดแทนไม่เกิน 300,000 บาท |
6. การจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในกรณีจำเลยไม่เสียชีวิต |
• กำหนดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการรักษาพยาบาล ให้จ่ายเท่าที่จ่ายจริง |
7. การขอรับเงิน |
• เมื่อมีการอนุมัติเงินช่วยเหลือเยียวยาผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา (เขต กทม.) หรือผู้อำนวยการสำนักงานยุติธรรมจังหวัด ยุติธรรมจังหวัด (เขตต่างจังหวัด) จะเป็นผู้ลงนามใบสั่งจ่าย เพื่อใช้เป็นหลักฐานขอรับเงิน (เดิม ประชาชนต้องมาติดต่อ 2 ครั้งครั้งแรก ยื่นคำขอ ครั้งที่ 2 ขอรับเงิน) |
4. ยธ. ได้ดำเนินการตามมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 แล้ว การดำเนินการดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือเยียวยา คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพผู้เสียหายและจำเลยในคดีอาญา รวมทั้งผู้ได้รับผลกระทบให้ได้รับการช่วยเหลือจากรัฐที่เหมาะสมสอดคล้องกับเศรษฐกิจปัจจุบันตามหลักมนุษยธรรม และเพื่อพัฒนาระบบการบริหารจัดการที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และให้บริการอย่างสะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรม ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐโดยตรงที่จะให้การช่วยเหลือผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกระทำการละเมิดหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกระบวนการยุติธรรมตามหลักสิทธิมนุษยชน
6. เรื่อง ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือนเสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งให้กระทรวงสาธารณสุขรับความเห็นของสำนักงบประมาณไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปด้วย
สาระสำคัญของเรื่อง
ร่างกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ที่ ก.พ. เสนอ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2567 โดยกำหนดเพิ่มเติมให้สายงานฟิสิกส์การแพทย์ (นักฟิสิกส์การแพทย์)1 เป็นสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการ ในอัตรา 3,500 บาทต่อเดือน และในระดับชำนาญการพิเศษ2 ในอัตรา 5,600 บาทต่อเดือน เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานกำหนดตำแหน่งประเภทวิชาการเพิ่มใหม่ในสายงานฟิสิกส์การแพทย์ ตำแหน่งนักฟิสิกส์การแพทย์ (สายงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลุ่มงานวิทยาศาสตร์สุขภาพและการแพทย์) โดยการกำหนดให้นักฟิสิกส์การแพทย์ได้รับเงินประจำตำแหน่งดังกล่าวจะเป็นการรักษาและดึงดูดบุคลากรที่มีความรู้ทางด้านฟิสิกส์การแพทย์ไว้ในระบบ เพื่อปฏิบัติงานที่ต้องใช้ความรู้ทางฟิสิกส์การแพทย์ร่วมกับแพทย์ เช่น การคำนวณปริมาณรังสี วัดความแรงรังสี การใช้เครื่องรังสีที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีระดับสูงและยังทำให้บุคลากรได้สั่งสมความรู้ความเชี่ยวชาญตรงตามสาขาที่ศึกษา ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนได้รับบริการที่มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ตามมาตรฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ทั้งนี้ ก.พ. และ อ.ก.พ. วิสามัญเกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบได้เห็นชอบกับร่างกฎ ก.พ. ดังกล่าวด้วยแล้ว
_____________________________________
1นักฟิสิกส์การแพทย์มีหน้าที่วางแผนการรักษาและการคำนวณปริมาณรังสีตามที่แพทย์กำหนดในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง ด้วยเครื่องฉายรังสีในโรงพยาบาลและสถานบริการทางการแพทย์ รวมถึงทำหน้าที่ในการบริหารจัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยจากการใช้รังสี ต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้เครื่องมือที่มีความซับซ้อนทางเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งนี้ ลักษณะงานของ นักฟิสิกส์การแพทย์และนักรังสีการแพทย์แตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือ นักรังสีการแพทย์จะเป็นผู้ประเมินว่าผู้ป่วยเหมาะกับการรักษาโดยใช้เครื่องฉายรังสีแบบใด ส่วนนักฟิสิกส์การแพทย์จะเป็นผู้ใช้เครื่องฉายรังสีที่ต้องมีการคำนวณด้วยคอมพิวเตอร์ที่มีความสลับซับซ้อนนั้นในการรักษาผู้ป่วย
2สำหรับตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญและระดับทรงคุณวุฒิมีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งทุกสายงานอยู่แล้วแต่ระดับชำนาญการและระดับชำนาญการพิเศษตามกฎ ก.พ. ว่าด้วยการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญได้รับเงินประจำตำแหน่ง พ.ศ. 2567 จะได้รับเงินประจำตำแหน่งตามสายงานที่กำหนดไว้ในบัญชีกำหนดสายงานที่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งท้ายกฎ ก.พ. ดังกล่าวเท่านั้น จึงจำเป็นต้องเพิ่มสายงานฟิสิกส์การแพทย์ให้มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งในระดับชำนาญการและชำนาญการพิเศษ อย่างไรก็ดีสำหรับข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ ซึ่งไม่มีสิทธิได้รับเงินประจำตำแหน่งตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน (เช่น นิติกร) มีสิทธิได้รับเงินค่าตอบแทน (นอกเหนือจากเงินเดือน) ในอัตราเดือนละ 3,500 บาท ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือนของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2553
เศรษฐกิจ-สังคม |
7. เรื่อง ขอความเห็นชอบการเสียภาษีสลากบำรุงสภากาชาดไทย
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สภากาชาดไทยเสนอ ให้สภากาชาดไทย หรือเหล่ากาชาดจังหวัด หรือกิ่งกาชาดอำเภอ ซึ่งเป็นตัวแทนของสภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 และสลากบำรุงสภากาชาดไทยในงานกาชาดและงานออกร้านคณะภริยาทูต ประจำปี 2568 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้มอบให้สภากาชาดไทย เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่ายตามข้อ 12 (4) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 และที่แก้ไขเพิ่มเติมได้
สาระสำคัญของเรื่อง
1. ที่ผ่านมาสภากาชาดไทยร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ รัฐวิสาหกิจและสถาบันการศึกษา จัดทำสลากบำรุงสภากาชาดไทยในทุก ๆ ปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย
2. การเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงกาชาดไทย1 ตามบัญชี ข. หมายเลข 16 ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2487 ซึ่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503) ออกตามความในพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 ข้อ 12 (4) แก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2543) [กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)ฯ] กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลาก ซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย (หากไม่ใช่การออกสลากกินแบ่งที่มีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้ไปใช้ในกิจการสาธารณกุศล ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่งดังกล่าวต้องเสียภาษีร้อยละ 5 หรือร้อยละ 10 แล้วแต่กรณี2) และในครั้งนี้ สภากาชาดไทยจึงเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบให้สภากาชาดไทย ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเล่นการพนันสลากกินแบ่งหรือสลากบำรุงสภากาชาดไทย ประจำปี 2568 เสียภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 แห่งยอดราคาสลากเช่นเดียวกับ
ทุก ๆ ปีที่ผ่านมา
___________________________________________
1หมายถึงสลากกินแบ่งในบัญชี ข. ท้ายพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช 2478 หมายเลข 16 คือ สลากกินแบ่ง สลากกินรวบหรือการเล่นอย่างใดที่เสี่ยงโชคให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง
2กฎกระทรวง ฉบับที่ 17 (พ.ศ. 2503)ฯ ข้อ 12 (3) กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาตการเล่นสลากกินแบ่ง สลากกินรวบ หรือการเล่นอย่างใด ที่เสี่ยงโชคให้เงินหรือประโยชน์อย่างอื่นแก่ผู้เล่นคนใดคนหนึ่ง ต้องเสียภาษีร้อยละ 10 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย สำหรับจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี (กรุงเทพมหานคร) และร้อยละ 5 แห่งยอดราคาสลากซึ่งมีผู้รับซื้อก่อนหักรายจ่าย สำหรับจังหวัดอื่น
8. เรื่อง แนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map)
คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการมาตราส่วน 1 : 4000 (แนวทางปฏิบัติฯ) เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้เป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป
2. ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 (เรื่อง การเสนอ ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดแนวเขตที่ดินให้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมาย) ที่กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องต้องประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติเสียก่อนว่าแนวเขตในการดำเนินการตามร่างกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นแนวเขตที่สามารถเข้าดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ได้มีการกำหนดไว้เป็นพื้นที่ดำเนินการตามกฎหมายอื่น และขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 (เรื่อง แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีการตราร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติที่ต้องจัดให้มีแผนที่ท้าย) ที่กำหนดให้หน่วยงานของรัฐผู้เสนอร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติตรวจสอบความถูกต้องของท้องที่การปกครอง แนวเขตการปกครองที่จำเป็นต้องระบุในเนื้อหาของร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัติและแผนที่ท้ายอันเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดเชิงพื้นที่ให้เป็นปัจจุบัน รวมทั้งต้องมีผลตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของท้องที่การปกครองและแนวเขตการปกครองจากกรมการปกครอง เสนอคณะรัฐมนตรีมาพร้อมกับร่างกฎหมายหรือร่างอนุบัญญัตินั้นด้วย ทั้งนี้ เฉพาะกรณีการดำเนินการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (แผนที่ One Map)
3. ขอให้มอบหมายกรมธนารักษ์ กรมที่ดิน กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมพัฒนาที่ดิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมการปกครอง กรมแผนที่ทหาร สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ สคทช. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ดังกล่าว
สาระสำคัญของเรื่อง
สคทช. รายงานว่า
1. การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประเทศไทยมีแนวเขตที่ดินของรัฐที่ถูกต้อง ทันสมัย ไม่ทับช้อนกัน อยู่บนพื้นฐานมาตราส่วน 1 : 4000 ให้ทุกส่วนราชการใช้และยึดถือในแนวทางเดียวกัน เพื่อให้การบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินของประเทศอย่างมีเอกภาพและประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบแนวคิด “หนึ่งพื้นที่ หนึ่งหน่วยงานรับผิดชอบ” (One Land, One Law) โดยแบ่งพื้นที่ดำเนินการออกเป็น 7 กลุ่ม ๆ ละ 11 จังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้ว 4 กลุ่ม โดยกำหนดให้หน่วยงานที่มีที่ดินของรัฐ ปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการ One Map ให้แล้วเสร็จ ภายใน 360 วัน อาจขอขยายระยะเวลาการดำเนินการต่อคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้ตามเหตุผลความจำเป็นแต่ไม่เกิน 180 วัน อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติหน่วยงานยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เช่น พื้นที่กลุ่มที่ 1 จำนวน 11 จังหวัด ครบกำหนดเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2566 ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จ เนื่องจากแต่ละหน่วยงานมีข้อจำกัดด้านบุคลากร งบประมาณ และมีขั้นตอน กระบวนการตามกฎหมาย และระเบียบที่จะต้องปฏิบัติจำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังพบว่าในการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกับผลการดำเนินการ One Map นั้น หน่วยงานต่าง ๆ ยังต้องปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีอีก 2 ฉบับ ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 ซึ่งได้กำหนดให้หน่วยงานเจ้าของเรื่องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ได้ข้อยุติว่า สามารถ ดำเนินการได้และไม่ทับซ้อนกับแนวเขตที่ดินของรัฐตามกฎหมายอื่น และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 ซึ่งได้กำหนดให้ตรวจสอบความถูกต้องของแนวเขตการปกครองและรับรองความถูกต้องจากกรมการปกครอง อันทำให้เกิดความซ้ำซ้อนและความล่าช้าในการที่จะดำเนินการให้แล้วเสร็จทันตามกรอบระยะเวลาที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
2. คทช. ในคราวประชุมครั้งที่ 3/2566 เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2566 ได้รับทราบประเด็นปัญหาดังกล่าว และพิจารณาแล้วเห็นควรจะต้องมีการลดขั้นตอนและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map รวมถึงการขอยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีทั้ง 2 ฉบับ (มติคณะรัฐมนตรี 28 ก.พ. 2555 และ 22 มี.ค. 2565) เนื่องจากแนวทางปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 เป็นหลักการเดียวกันกับการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ซึ่งคณะอนุกรรมการปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการ มาตราส่วน 1 : 4000 (One Map) และแก้ไขปัญหาแนวเขตที่ดินของรัฐ (คณะอนุกรรมการ One Map) มีหน้าที่และอำนาจในการพิจารณาปรับปรุงแนวเขตที่ดินของรัฐให้สอดคล้องได้ข้อยุติ ไม่ทับซ้อนกันประกอบกับตามคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ One Map หรือคณะทำงานมีผู้แทนหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นองค์ประกอบอยู่แล้ว รวมถึงมีผู้แทนกรมการปกครองซึ่งมีหน้าที่ในการพิจารณาแนวเขตการปกครอง ด้วยเหตุนี้ คทช. จึงได้มีมติเห็นชอบในหลักการให้ สคทช. กำหนดแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการปรับปรุงแผนที่ One Map และนำเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาและเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นชอบผลการดำเนินการ One Map แล้ว ให้นำไปจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมายโดยไม่ต้องแจ้งเวียนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาปรับปรุงลดขั้นตอนในการจัดทำแผนที่แนบท้ายกฎหมายด้วย
3. สคทช. ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำนวน 13 หน่วยงาน ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map โดยแนวทางฯ มีสาระสำคัญแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ดังนี้
3.1 ส่วนที่หนึ่ง การกำหนดแนวทางการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย
(1) การจัดเตรียมข้อมูล
(2) การจัดทำแผนปฏิบัติการกลุ่มพื้นที่และจังหวัดกรอบระยะเวลา งบประมาณ บุคลากรรับผิดชอบ
(3) การจัดเตรียมข้อมูลเส้นแนวเขตที่ดินของรัฐเส้นแนวเขตการปกครอง เอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้อง
(4) การตรวจสอบและรับรองความถูกต้องของหน่วยงาน
(5) การนำข้อมูลเข้าระบบเพื่อบันทึกเป็นฐานข้อมูล
(6) การดำเนินการปรับปรุงแผนที่ One Map ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
(7) การนำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map และคณะทำงานที่เกี่ยวข้อง
(8) การรับรองผลการดำเนินการ
(9) การนำเรื่องเสนอ คทช. และคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา
3.2 ส่วนที่สอง การกำหนดแนวทางปฏิบัติการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map หลังจากที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ซึ่งมีขั้นตอนที่สำคัญ ประกอบด้วย
(1) การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องของแต่ละหน่วยงานตามผลการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map ที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วภายในระยะเวลาที่กำหนด
(2) การเร่งดำเนินการชี้แจงสร้างการรับรู้ความเข้าใจแก่ทุกภาคส่วน
(3) แนวทางการแก้ไขปัญหากรณีมีผู้ได้รับผลกระทบหรือการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น เช่น พบความคลาดเคลื่อน ความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลให้นำเรื่องเสนอคณะอนุกรรมการ One Map หรือคณะอนุกรรมการอื่นภายใต้ คทช. เพื่อพิจารณาและนำเสนอ คทช. เพื่อให้ความเห็นชอบต่อไป
3.3 ส่วนที่สาม การเสนอขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี จำนวน 2 ฉบับ คือ มติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และ 22 มีนาคม 2565 เฉพาะกรณีการดำเนินงานปรับปรุงแผนที่ One Map เพื่อเป็นการลดขั้นตอน ลดความซ้ำซ้อนของการดำเนินงาน เนื่องจากแนวทางปฏิบัติที่กำหนดขึ้นใหม่นี้ สามารถทดแทนการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวได้
4. คทช. พิจารณาในคราวประชุมครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบแนวทางปฏิบัติเพื่อลดขั้นตอน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน One Map รวมทั้งเห็นชอบให้ขอยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555 และเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2565 เฉพาะกรณีการดำเนินการ One Map โดยมอบหมายให้ สคทช. นำเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
9. เรื่อง แผนการนำงานบริการของหน่วยงานของรัฐมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลาง
คณะรัฐมนตรีมีติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 6 (ด้านดิจิทัล สาธารณสุข ทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ประโยชน์ที่ดินและการบริหารจัดการน้ำ) ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี (นายประเสริฐ จันทรรวงทอง) เป็นประธานกรรมการ เสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบในหลักการกรอบระยะเวลาและวงเงินงบประมาณของแผนการดำเนินงานในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริการมาให้บริการบนแพลตฟอร์มดิจิทัลกลางในกรอบวงเงิน 705 ล้านบาท ทั้งนี้สำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินการดังกล่าว ให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องใช้จ่ายจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี ที่ได้รับจัดสรร หรือพิจารณาปรับแผนการปฏิบัติงานและแผนการใช้จ่ายงบประมาณ หรือโอนเงินจัดสรรหรือเปลี่ยนแปลงเงินจัดสรร ตามระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณ พ.ศ. 2562 และที่แก้ไขเพิ่มเติม หรือใช้จ่ายจากเงินนอกงบประมาณในโอกาสแรกก่อน หากไม่เพียงพอ เห็นควรให้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายงบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นเป็นรายกรณี ตามขั้นตอนของระเบียบว่าด้วยการบริหารงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นพ.ศ. 2562 โดยคำนึงถึงความครอบคลุมของทุกแหล่งเงิน ความประหยัด ความคุ้มค่า ผลสัมฤทธิ์และประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับเป็นสำคัญ
2. เห็นชอบวิธีการและกลไกการดำเนินการในการพัฒนาและเชื่อมโยงงานบริ