สาระน่ารู้
สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 18 กุมภาพันธ์ 2568
วันนี้ 18 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 10.00 น. นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 1/2568 ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งสรุปสาระสำคัญดังนี้
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินจะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ.ศ. ....
เศรษฐกิจ-สังคม |
2. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ระยะที่ 11 (พ.ศ. 2567 – 2571)
3. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (พ.ศ. 2567-2571)
4. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน
5. เรื่อง ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 และวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
ต่างประเทศ |
6. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์
แต่งตั้ง |
7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหาร (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
9. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
10. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
*********************************************
กฎหมาย |
1. เรื่อง ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดที่ดินจะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ.ศ. ....
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้ รวมทั้งรับความเห็นของกระทรวงคมนาคม สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการต่อไปด้วย
สาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนในท้องที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พ.ศ. .... เป็นการกำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน ในท้องที่ตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เพื่อก่อสร้างโครงการคลองระบายน้ำคลองตง อันเป็นประโยชน์แก่การชลประทาน สำหรับพื้นที่การเกษตร การอุปโภคและบริโภค การป้องกันและบรรเทาอุทกภัย ตลอดจนเพื่อนำที่ดินไปชดเชยให้เกิดความเป็นธรรมแก่เจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืน มีกำหนดใช้บังคับ 3 ปี โดยให้เริ่มต้นเข้าสำรวจที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ภายในแนว เขตที่ดินที่จะเวนคืน ภายใน 160 วัน นับแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับ และเมื่อการก่อสร้างสำเร็จแล้วจะช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วมบริเวณพื้นที่เทศบาลตำบลพะตง อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา และสามารถเป็นเครื่องมือบริหารจัดการน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งเพิ่มเส้นทางการคมนาคมเข้าพื้นที่เกษตรกรรมเป็นการยกระดับความเป็นอยู่ของราษฎรในพื้นที่ให้ดีขึ้น และส่งเสริมกิจกรรมและประเพณีท้องถิ่น ได้แก่ ประเพณีลอยกระทง เทศกาล แข่งเรือ และเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ โดยเขตที่ดินที่จะเวนคืน มีปริมาณทรัพย์สินที่ต้องจัดกรรมสิทธิ์ประกอบด้วย ค่าซื้อที่ดินจำนวน 83 แปลง เนื้อที่ประมาณ 91-1-21.5 ไร่ เป็นเงินประมาณ 150,651,187.50 บาท ค่าทดแทนต้นไม้หรือต้นผลไม้ โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นเป็นเงินประมาณ 93,000,000 บาท ค่าทดแทนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เป็นเงินประมาณ 4,873,023.75 บาท ที่งอกริมตลิ่งเนื้อที่ประมาณ 6-0-22.8 ไร่ เป็นจำนวนเงิน 4,723,443.04 บาท ค่าทดแทนทรัพย์สินทั้งโครงการคิดเป็นเงินประมาณ 253,247,654.29 บาท รวมทั้งเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีสิทธิเข้าไปทำการสำรวจเพื่อทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องได้มาโดยแน่ชัด โดยกรมการปกครองได้ตรวจแผนที่ท้ายร่างพระราชกฤษฎีกาในเรื่องนี้แล้ว
เศรษฐกิจ-สังคม |
2. เรื่อง ขออนุมัติขยายระยะเวลาการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย ระยะที่ 11 (พ.ศ. 2567 – 2571)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (โครงการจัดส่งนักศึกษาฯ) ระยะที่ 11 (พ.ศ. 2567 – 2571) ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 32,630,000 บาท ตามที่ กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
เนื่องจากการดำเนินโครงการจัดส่งนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้เข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัย (โครงการจัดส่งนักศึกษาฯ) ระยะที่ 10 ได้สิ้นสุดลงในปี 2566 กระทรวงมหาดไทย (มท.) จึงเสนอขออนุมัติการดำเนินงานโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ ระยะที่ 11 (พ.ศ. 2567 - 2571) ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ จำนวน 32,630,000 บาท ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมมาตรฐานการศึกษาให้เยาวชนที่ได้รับความเสียหายหรือที่ได้รับกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีโอกาสเข้าถึงการศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพมากขึ้น และหากสำเร็จการศึกษาแล้วสามารถนำความรู้ที่ได้รับจากการศึกษาไปปฏิบัติงานและพัฒนาพื้นที่ภูมิลำเนาของตนได้ โดยโครงการดังกล่าวมีการดำเนินการ 3 ด้าน ซึ่งมีรายละเอียดสรุปได้ ดังนี้
(1) ด้านการคัดเลือกนักศึกษา กรมการปกครองดำเนินการร่วมกับ คกก. กลั่นกรองคุณสมบัติผู้สมัครรับทุนการศึกษาตามโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ พิจารณาคัดเลือกนักศึกษาตามระเบียบ มท. ว่าด้วยเงินทุนอุดหนุนการศึกษาแก่นักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายหรือที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบ เข้าศึกษาต่อในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2565 (ระเบียบ มท. ว่าด้วยเงินทุนอุดหนุนการศึกษาฯ) และหลักเกณฑ์ของแต่ละมหาวิทยาลัย เช่น ผู้ขอรับเงินทุนอุดหนุนการศึกษาต้องมีภูมิลำเนา และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เมื่อนับรวมกันจนถึงวันประกาศรับสมัครแล้วต้องไม่น้อยกว่า 3 ปี และมีอายุไม่เกิน 25 ปีบริบูรณ์ รวมถึงมีคะแนนเป็นไปตามเกณฑ์ที่รับสมัครของแต่ละมหาวิทยาลัย คุณสมบัติของแต่ละคณะ/สาขาวิชา และอัตรารับสมัครของแต่ละมหาวิทยาลัย
(2) ด้านการจัดสรรเงินทุนอุดหนุนการศึกษา กรมการปกครองจัดสรรงบฯ รายจ่ายประจำปี ปีละ 44 ทุน จำแนกเป็นสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ 27 ทุน ทุนละ 40,000 บาท/ปี และสาขาวิชาสังคมศาสตร์ 17 ทุน ทุนละ 30,000 บาท/ปี โดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ จ.ปัตตานี จ.ยะลา จ.นราธิวาส จ.สตูล และ จ.สงขลา (เฉพาะ อ.จะนะ อ.เทพา อ.นาทวี และ อ.สะบ้าย้อย) ซึ่งในปี 2567 - 2571 มท. ได้ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับเงินทุนอุดหนุนการศึกษา สำหรับทุนการศึกษา ปีละ 44 ทุน (รวม 5 ปี 220 ทุน แบ่งเป็นสายวิทยาศาสตร์ จำนวน 135 ทุน และสายสังคมศาสตร์ จำนวน 85 ทุน) เป็นเงินทั้งสิ้น 32.63 ล้านบาท ดังนี้
งบฯ ปี |
เงินอุดหนุนทุนการศึกษา (ล้านบาท) |
||
นักศึกษาทุนต่อเนื่อง |
นักศึกษาคัดเลือกใหม่ |
รวม |
|
2567 |
4.06 |
1.59 |
5.65 |
2568 |
3.61 |
1.59 |
5.20 |
2569 |
4.24 |
1.59 |
5.83 |
2570 |
5.59 |
1.59 |
7.18 |
2571 |
7.18 |
1.59 |
8.77 |
รวม |
24.68 |
7.95 |
32.63 |
ทั้งนี้ สำหรับเงินทุนอุดหนุนการศึกษาในปี 2567 – 2568 มท. ได้รับการจัดสรรเงินทุนดังกล่าว ตาม พ.ร.บ. งบฯ ปี 2567 และ พ.ร.บ. งบฯ 2568 เรียบร้อยแล้ว
(3) ด้านการสงวนอัตราเข้ารับราชการ ดำเนินการตามมติ ครม. (30 ก.ย. 2546) ที่กำหนดให้กระทรวง กรมต่าง ๆ ที่มีหน่วยงานอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ สงวนอัตราเพื่อรองรับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาตามโครงการดังกล่าว เข้ารับราชการเป็นกรณีพิเศษ ผ่านการคัดเลือกของส่วนราชการในการเข้ารับราชการในพื้นที่ โดยให้ มท. ศธ. สธ. และ กษ. สงวนอัตรากระทรวงละ 4 อัตรา สำหรับส่วนราชการอื่นที่มีหน่วยงานในพื้นที่ให้สงวนอัตราไว้อย่างน้อยกระทรวงละ 1 อัตรา
การดำเนินการตามโครงการจัดส่งนักศึกษาฯ ระยะที่ 11 จะทำให้นักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความเสียหายหรือผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับประโยชน์ เช่น (1) นักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น (2) ผู้สำเร็จการศึกษาตามโครงการดังกล่าวมีโอกาสได้กลับไปปฏิบัติงานในภูมิลำเนาของตนและมีส่วนร่วมในการพัฒนาพื้นที่ด้านการศึกษาและการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้
3. เรื่อง ขอความเห็นชอบกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (พ.ศ. 2567-2571)
คณะรัฐมนตรีมีมติตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา (แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ) ในระยะ 5 ปีแรก วงเงิน 402.818 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายจากเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ และกองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กองทุน ววน.) เป็นลำดับแรก หากไม่เพียงพอ มอบหมายให้หน่วยงานผู้ดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ ได้แก่ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมประมงเสนอขอรับจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี และ/หรือแหล่งเงินอื่นเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงานที่รับผิดชอบต่อไป
2. มอบหมายให้ กค. นำขอบเขตงาน ตัวชี้วัด และกรอบค่าใช้จ่ายสำหรับแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ ในระยะ 5 ปีแรก ดำเนินการเจรจาเงินกู้กับธนาคารโลก พร้อมจัดทำรายละเอียดของเอกสารที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งให้หน่วยงานดำเนินงานภายใต้แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ สามารถดำเนินการควบคู่ไปกับการก่อสร้างโครงการสะพาน ข้ามทะเลสาบสงขลา อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา - อำเภอเขาชัยสน จังหวัดพัทลุง (โครงการสะพานข้ามทะเลสาบสงขลาฯ) ของกรมทางหลวงชนบท
สาระสำคัญของแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ ประกอบไปด้วย 6 แผนงาน 15 โครงการ จำนวน 36 กิจกรรม ดังนี้ (1) การลดภัยคุกคามที่เป็นอันตรายต่อโลมาอิรวดีและแหล่งที่อยู่อาศัย (3 โครงการ/8 กิจกรรม) เช่น การจัดทำแนวเขตพื้นที่คุ้มครองโลมาอิรวดีที่ชัดเจน การประกาศเขตพื้นที่ห้ามทำการประมงด้วยเครื่องมือประมงที่เป็นอันตรายต่อโลมาอิรวดี (2) การฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลาและการเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำ (1 โครงการ/1 กิจกรรม) เช่น การเพิ่มปริมาณสัตว์น้ำท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลา การจัดสร้างแหล่งอาศัยสัตว์น้ำชายฝั่งบริเวณที่รับผิดชอบของชุมชนประมงท้องถิ่น (3) การศึกษาวิจัยนิเวศวิทยาและชีววิทยาของโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา (2 โครงการ/5 กิจกรรม) เช่น การสำรวจการแพร่กระจายและจำนวนประชากรโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาการศึกษาวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาภาพแวดล้อมในทะเลสาบสงขลา (4) การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประชากรโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา (1 โครงการ/1 กิจกรรม) เช่น การศึกษาพันธุกรรมของโลมาอิรวดีและการศึกษาดีเอ็นเอในสิ่งแวดล้อมเพื่อการจัดการอนุรักษ์ที่เหมาะสม (5) การดำเนินงานอนุรักษ์โลมาอิรวดีและการเสริมสร้างเศรษฐกิจชุมชนที่ยั่งยืน (7 โครงการ/17 กิจกรรม) เช่น การติดตามผลกระทบต่อโลมาอิรวดีจากการก่อสร้างสะพานข้ามทะเลสาบสงขลา การพัฒนาอาชีพชาวประมงรอบทะเลสาบสงขลา (6) การบริหารจัดการแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลา (1 โครงการ/4 กิจกรรม) เช่น การบริหารจัดการ ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานตามแผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีทะเลสาบสงขลา
ทั้งนี้ แผนอนุรักษ์โลมาอิรวดีฯ จะช่วยลดสาเหตุการตายและภัยคุกคามต่อโลมาอิรวดี ช่วยเพิ่มจำนวนประชากรโลมาอิรวดีผ่านการอนุรักษ์และการฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพ รวมถึงช่วยฟื้นฟูความสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลา ตลอดจนส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนให้แก่ชุมชนสอดคล้องกับคำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีที่รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาความสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทั้งระบบ
4. เรื่อง ข้อเสนอโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติโครงการจังหวัดเพื่อฟื้นฟูซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคสาธารณูปการ ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยในพื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้ชายแดน ที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 22 โครงการ กรอบวงเงินรวม 304,795,400 บาท โดยให้จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี ขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด รวมทั้งให้สำนักงบประมาณตรวจสอบความซ้ำซ้อนของโครงการและงบประมาณต่อไป ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ
สาระสำคัญของเรื่อง
จากเหตุการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดยะลา จังหวัดนราธิวาส และจังหวัดปัตตานี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน - เดือนธันวาคม 2567 นับเป็นสถานการณ์รุนแรงที่สร้างความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยมีสาเหตุหลักเนื่องมาจากมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ กำลังค่อนข้างแรงพัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ ประกอบกับหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณชายฝั่งตะวันออกของประเทศมาเลเซียเคลื่อนตัวลงสู่ทะเลอันดามันตอนล่าง ทำให้ภาคใต้ตอนล่างมีฝนตกหนักถึงหนักมาก และปริมาณฝนที่ตกสะสมทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยเฉพาะพื้นที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านและพื้นที่ลุ่มต่ำ และท่วมขังในพื้นพื้นที่เมืองและเขตเศรษฐกิจสำคัญ
ทั้งนี้ ข้อเสนอของโครงการฯ ดังกล่าวจะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานที่รับความเสียหายจากอุทกภัยได้รับการปรับปรุง ซ่อมแซม และฟื้นฟูให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติอย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันและบรรเทาความเสียหายจากอุทกภัยที่อาจจะเกิดขึ้นซ้ำในอนาคตเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนและภาคส่วนในพื้นที่ในการดำเนินชีวิตประจำวันและประกอบกิจการได้อย่างปลอดภัย
5. เรื่อง ผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 และวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
คณะรัฐมนตรีมีมติรับทราบตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเสนอ ดังนี้
1. รับทราบผลการประชุมบูรณาการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย (สงขลา สุราษฎร์ธานี ชุมพร นครศรีธรรมราช และพัทลุง) เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม 2568 และวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568
2. เห็นชอบในหลักการโครงการของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย จำนวน 23 โครงการ กรอบวงเงิน 300,000,000 บาท โดยให้จังหวัดและกลุ่มจังหวัดขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น และให้สำนักงบประมาณพิจารณาความพร้อม ความคุ้มค่าของโครงการและความเหมาะสมของวงเงินตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด
3. เห็นชอบในหลักการของโครงการที่เป็นข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) จำนวน 12 โครงการ กรอบวงเงิน 300,000,000 บาท โดยให้ส่วนราชการที่เป็นหน่วยงานเจ้าของโครงการขอรับการจัดสรรจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นตามขั้นตอนของกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด และให้หน่วยงานเจ้าของโครงการเร่งจัดทำข้อเสนอโครงการ โดยให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการใช้จ่ายงบประมาณอย่างรอบคอบ
4. มอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาโครงการที่เป็นข้อเสนอกลุ่มจังหวัดฯ ของภาคเอกชน (กรอ.กลุ่มจังหวัด) ในส่วนที่เหลือจำนวน 21 โครงการ เพื่อบรรจุไว้ในแผนปฏิบัติราชการประจำปีของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและขอรับการจัดสรรงบประมาณตามขั้นตอนต่อไป
ต่างประเทศ |
6. เรื่อง ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรี เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทย (มท.) เสนอ ดังนี้
1. อนุมัติขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 (เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์) ในประเด็น การกำหนดสายการบินในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ จาก กำหนดให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมาย และบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. การบินไทย) รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยแบบเช่าเหมาลำตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (คณะกรรมการฯ) กับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ และกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย ที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 เป็นต้นไป เป็น การขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยให้ดำเนินการตามความตกลงระหว่างคณะกรรมการฯ กับกระทรวงฮัจย์และอุมเราะห์ และสำนักงานการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียที่จะมีขึ้นในแต่ละปี ตั้งแต่ปี พ.ศ.2569 เป็นต้นไป
2. อนุมัติขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 (เรื่อง แนวทางการจัดเที่ยวบินขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์)
สาระสำคัญของเรื่อง
1. เดิมกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียได้กำหนดให้การดำเนินการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ ชาวไทย ดำเนินการโดยสายการบินแห่งชาติของประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบียฝ่ายละครึ่งหนึ่ง คณะรัฐมนตรีได้มีมติ (3 กรกฎาคม 2561) เห็นชอบให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมายและบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. การบินไทย) รับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยแบบเช่าเหมาลำ ต่อมา บมจ. การบินไทยหลุดพ้นจากสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ จึงมีสถานภาพเป็นสายการบินของเอกชน ซึ่งขัดกับข้อกำหนดของกรมการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบียที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น คณะรัฐมนตรีจึงมีมติ (20 เมษายน 2564) เห็นชอบให้ บมจ. การบินไทยเป็นสายการบินแห่งชาติของไทย ในการดำเนินภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย
2. ในการประชุมเตรียมการฮัจย์กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ประจำปี พ.ศ. 2566 ระหว่างวันที่ 8 - 18 มกราคม 2566 สำนักงานการบินพลเรือนซาอุดีอาระเบีย แจ้งว่า ประเทศไทยสามารถแจ้งกำหนดสายการบินเพิ่มเติมได้ โดยขอให้แจ้งกำหนดสายการบินมาอย่างเป็นทางการ ประกอบกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้แสวงบุญที่ได้รับความเดือดร้อนในกรณีที่ค่าบัตรโดยสารในการเดินทางไปแสวงบุญที่ประเทศซาอุดีอาระเบียและค่าโหลดน้ำหนักสัมภาระมีราคาแพง ดังนั้น คณะกรรมการส่งเสริมกิจการฮัจย์แห่งประเทศไทย (คณะกรรมการฯ) ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2567 เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2567 ให้เสนอขอทบทวนและขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี ดังนี้
2.1 ขอทบทวนมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 (จาก ให้สายการบินแห่งชาติที่รัฐบาลประเทศซาอุดีอาระเบียมอบหมาย และ บมจ. การบินไทยรับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทยแบบเช่าเหมาลำ เป็น ให้สายการบินที่มาจากความตกลงระหว่างประเทศไทยและประเทศซาอุดีอาระเบียที่จะจัดทำขึ้นเป็นรายปีต่อไปรับผิดชอบในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์)
2.2 ขอยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2564 (ให้ บมจ. การบินไทยเป็น สายการบินแห่งชาติของไทย ในการดำเนินภารกิจขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ชาวไทย)
การดำเนินการในเรื่องนี้จะเปิดโอกาสให้มีสายการบินในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ราคาค่าบัตรโดยสารถูกลงรวมถึงคุณภาพและการให้บริการดีขึ้นเนื่องจากเกิดการแข่งขันทางการค้าและด้านราคาของสายการบิน โดยประเทศไทยจะเริ่มดำเนินการคัดเลือกสายการบินในการขนส่งผู้แสวงบุญพิธีฮัจย์ ใน ปี 2569 เป็นต้นไป (ปี 2568 ยังคงให้ บมจ. การบินไทยทำการบินแบบเช่าเหมาลำเช่นเดิม)
แต่งตั้ง |
7. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสนอแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 2 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ดังนี้
1. นายบรรณรักษ์ เสริมทอง รองอธิบดีกรมป่าไม้ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
2. นายนิกร ศิรโรจนานนท์ รองอธิบดีกรมป่าไม้ ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
8. เรื่อง การแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเสนอแต่งตั้ง คณะรัฐมนตรี นายมงคล วิมลรัตน์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง สำนักงานปลัดกระทรวง ให้ดำรงตำแหน่ง อธิบดีกรมพลศึกษา กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งเป็นต้นไป
9. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงเกษตรและสหกรณ์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (กษ.) ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อไปอีก (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2568 ทั้งนี้ นายวิศิษฐ์ฯ จะเกษียณอายุราชการวันที่ 1 ตุลาคม 2568
10. เรื่อง ขออนุมัติต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง (กระทรวงพาณิชย์)
คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เสนอ การต่อเวลาการดำรงตำแหน่งของ นางพิมพ์ชนก พิตต์ฟีลด์ (ชื่อสกุลเดิม นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร) ข้าราชการพลเรือนสามัญ ตำแหน่ง เอกอัครราชทูต คณะผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ณ นครเจนีวา สำนักงานปลัดกระทรวง กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) ซึ่งจะดำรงตำแหน่งดังกล่าวครบ 4 ปี ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ต่อไปอีก 1 ปี (ครั้งที่ 1) ตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2568 ถึงวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569
ที่มา : https://www.thaigov.go.th/news/contents/details/93537